ก่อนจะสรรหาสิ่งต่างๆ มาประทินผิว การรู้จักธรรมชาติของสภาพผิวในแต่ละวัยก็สำคัญต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผิวด้วยเช่นกัน พญ.ดวงกมล ทัศนพงศากุล แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยถึงวิธีดูแลผิวให้สวยและเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เริ่มตั้งแต่วัยทารกและเด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยที่ผิวบอบบาง ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ไม่ควรมีกลิ่นหอมมากเพราะน้ำหอมอาจระคายเคืองผิว การใช้ยาทาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ในเด็กเล็กต้องระมัดระวัง และใช้ตามแพทย์สั่ง เพราะถ้าทาปริมาณมากเกินไป ระดับยาที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวเด็กจะสูงเกินความต้องการและก่อให้เกิดผลข้าง เคียงได้ นอกจากนี้ เด็กที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนัง ต้องการการดูแลที่มากขึ้นกว่าปกติ โดยการรักษาความชุ่มชื้นของผิวอย่างสม่ำเสมอ เพราะเด็กที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีผิวแห้งแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นจัดอาบน้ำและผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม ควรทาครีมบำรุงสม่ำเสมอ ในกรณีที่มีผื่นแดงอักเสบส่วนมากมักเป็นตามซอกคอ ข้อพับแขน ซอกขา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พญ.ดวงกมล เผยว่าปัญหา ผิวที่พบบ่อย คือ ผิวมันและมีสิว ที่มีคำกล่าวว่า สิวเป็นเรื่องธรรมชาตินั้นมีส่วนถูก เนื่องจากการเกิดสิวนั้นมาจากการอุดตันในรูขุมขนจากการสร้างเคราติน (Keratin) ที่ผิดปกติ เกิดเป็นโคมิโดน (Comedone) และผลจากฮอร์โมนเพศชายที่เพิ่มขึ้นในวัยนี้ กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ขยายขนาดและผลิตไขมัน (Sebum) ออกมา แบคทีเรียที่อยู่ในรูขุมขนก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาย่อยไขมัน เกิดเป็นกรดไขมันที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ ความรุนแรงของสิวในแต่ละคนไม่เท่ากันขึ้นกับกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย การล้างหน้าบ่อยๆ จึงไม่ได้เป็นการรักษาสิว ในทางตรงกันข้ามยิ่งล้างหน้าจะยิ่งทำให้มีการผลิตไขมันออกมาทดแทน ทำให้รูขุมขนอุดตันมากขึ้นด้วย ดังนั้น จึงควรล้างหน้าไม่เกิน 2 – 3 ครั้งต่อวันก็สะอาดเพียงพอแล้ว
สำหรับการรักษาสิวนั้น พญ.ดวงกมล กล่าวว่ามีทั้งการทายาและรับประทานยา ขึ้นกับความรุนแรง ถ้ามีแค่สิวอุดตัน ไม่อักเสบ สามารถใช้ยาทาได้ แต่ถ้าสิวอักเสบมาก ต้องรับประทานยาแก้อักเสบ ถ้ามีสิวอักเสบรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อลดโอกาสเกิดแผลเป็นจากสิว หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เพราะทำให้เกิดรอยหลุมสิว ซึ่งยากที่จะรักษาให้ผิวกลับมาเรียบดังเดิม
ปัจจุบัน การรักษารอยหลุมสิวมีได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่ครีมกรดวิตามินเอ แต่วิธีนี้จะเหมาะสำหรับรอยที่เป็นมาไม่นาน และต้องใช้เวลาทานานจึงจะเห็นผล การใช้กรดไตรคลอโรอะซิติกแต้มรอยแผล วิธีนี้จะทำให้เกิดแผลตกสะเก็ด และเมื่อสะเก็ดหลุดแผลก็จะตื้นขึ้น เนื่องจากมีการกระตุ้นให้สร้างเนื้อเยื่อซ่อมแซมใต้ผิวขึ้น วิธีนี้มีข้อควรระวังคือ หลังแต้มยาไม่ควรขัดหรือถูหน้าแรงๆ หรือตากแดดจัด เพราะทำให้แผลอักเสบ และเกิดรอยคล้ำหลังสะเก็ดหลุดได้ วิธีแต้มยานี้ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเห็นผล
นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นในการรักษารอยหลุมสิว คือ การขัดผิวด้วยเกล็ดอัญมณีหรือไม่โครพิล (Micropeel) โดยใช้หัวขัดพ่นเกล็ดอัญมณีลงมาที่ผิว จะมีแรงดูดเบาๆ ขณะเดียวกันเกล็ดอัญมณีที่พ่นออกมาจะขัดผิวชั้นตื้นๆ ออกไป ความรู้สึกในขณะทำการขัดจะคล้ายการใช้กระดาษทรายละเอียดถูเบาๆ ที่ผิวแต่ไม่ทำให้เกิดแผลจึงไม่ต้องพักฟื้นหลังทำไมโครพีลจึงสามารถแต่งหน้า และทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
การทำไมโครฟิลนี้จะทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และชั้นคอลลาเจน (Collagen) ใต้ผิวเพิ่มขึ้นจึงทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น ควรทำต่อเนื่องทุก 1 – 3 สัปดาห์ และจะเริ่มเห็นผลการรักษาประมาณ 5 ครั้งขึ้นไป ขึ้นกับความลึกของรอยหลุมสิว แต่ละครั้งใช้เวลาทำนาน 45 นาที – 1 ชั่วโมง วิธีนี้นอกจากจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวแล้ว ยังเหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอย ผิวมันรูขุมขนกว้าง รอยแตกลายที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก
ส่วนการดูแลผิวสำหรับวัยทำงานพญ.ดวงกมล เผยว่า วัย นี้มีโอกาสใช้เครื่องสำอางมากขึ้น การดูแลทำความสะอาดผิวหลังแต่งหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าทำความสะอาดเครื่องสำอางไม่หมดอาจทำให้รูขุมขนอุดตันเป็นสิวได้ง่าย ควรใช้คลีนซิ่งโลชั่นเช็ดเครื่องสำอางออกก่อน แล้วจึงใช้โฟมหรือเจลล้างหน้าทำความสะอาด จะทำให้ล้างเครื่องสำอางได้หมดจด
ความเครียดจากการทำงาน การอดนอนเพราะโหมงานหนัก ทำให้ผิวพรรณไม่สดใสเกิดริ้วรอยได้ นอกจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยเมื่ออายุเกิน 30 ปีขึ้นไป เซลล์ผิวหนังส่วนบนจะมีการผลัดผิวช้าลง ทำให้ผิวหมองคล้ำรูขุมขนกว้างและหยาบกร้าน การใช้กรดผลไม้ หรือ AHA จะช่วยเร่งการผลัดผิวเก่า ทำให้ผิวดูสดใส สีผิวสม่ำเสมอและขาวขึ้น โดยแพทย์จะใช้กรดผลไม้ในรูปเจลความเข้มข้น 30 – 70 % ทาทั่วหน้าทิ้งไว้ 3 – 5 นาที ความรู้สึกหลังทาจะมีอาการแสบยิบๆ เล็กน้อย และจะหายไปเมื่อล้างออก
ขณะเดียวกัน "ฝ้า" ก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยในบ้านเรา เนื่องจากฝ้าเป็นผลสะสมจากการโดนแดดจัดเป็นเวลานาน ทำให้ผิวผลิตเม็ดสีเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็น ปื้นสีน้ำตาลที่ใบหน้า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า ได้แก่ กรรมพันธุ์ และฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งจะสังเกตว่าในหญิงตั้งครรภ์จะมีฝ้าขึ้นเพราะผลจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นใน ช่วงตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญในการรักษาฝ้าก็คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดโดยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ และใช้ยาทารักษาฝ้าเพื่อลดการสร้างเม็ดสีก็จะช่วยลดความเข้มของฝ้าลงได้ ผลการรักษาจะเร็วหรือช้าขึ้นกับ ความเข้ม ความลึกของฝ้าและระยะเวลาที่เป็น ตามปกติฝ้าตื้นๆ จะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าฝ้าลึก แต่อย่างไรก็ตามฝ้าส่วนใหญ่ไม่หายขาด ดังนั้น การดูแลผิวอย่างถูกต้องโดยใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00 -15.00 น. จะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด และไม่ควรซื้อครีมทาฝ้า หรือครีมที่ทำให้ผิวขาวอย่างรวดเร็วมาทาเอง เพราะอาจมีส่วนผสมของสารปรอท หรือสารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ในปริมาณสูง มีผลสะสมในผิวหนังทำให้เกิดรอยด่างดำที่ผิวอย่างถาวร ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่บอกสรรพคุณว่ารักษาฝ้าได้นั้นยังไม่มีการศึกษา ทางการแพทย์ที่สนับสนุนหรือรับรองผลการรักษา จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนจะเลือกใช้
การชะลอการเกิดริ้วรอยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนปรารถนา ริ้วรอยที่ผิวหน้าเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงตามวัย และจากแสงแดด เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงของผิว ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้าจะบางลง มีการกระจายของเม็ดสีไม่สม่ำเสมอ ในชั้นใต้ผิวหนังพบว่าชั้นคอลลาเจนบางลง เส้นใยอีลาสตินที่ให้ความยืดหยุ่นและทำให้ผิวกระชับเสื่อมสภาพ ยิ่งถ้ามีผลจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดก็จะทำให้เส้นใยเหล่านี้เสื่อม สภาพมากขึ้น ทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น การป้องกันริ้วรอยสามารถทำได้โดยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ใช้ครีมบำรุงให้เหมาะสมกับสภาพผิว นอกจากครีมผสมกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าแล้ว การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ ก็จะช่วยเสริมสร้างชั้นคอลลาเจนให้หนาขึ้น และมีการจัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบทำให้ผิวคงความยืดหยุ่นและเต่งตึง
ริ้วรอยรอบดวงตาและรอยหมองคล้ำใต้ตา อาจเกิดจากการอดนอน โรคภูมิแพ้ กรรมพันธุ์และการขยี้ตาบ่อยๆ ทำให้เกิดริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตา เราสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยเหล่านี้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ขยี้หรือถูเปลือกตาอย่างรุนแรง ทาครีมรอบดวงตาเพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากนี้ การนวดโดยใช้คลื่นเสียงอัลตราโซนิก (Ultrasonic) จะช่วยให้สารเติมความชุ่มชื้นเช่น Hyaluronate ซึมสู่ผิวได้ดีขึ้น โดยสามารถทำได้สัปดาห์ละครั้ง วิธีนี้ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง หลังทำเสร็จแล้วก็สามารถดูแลผิวได้ตามปกติ
ในกรณีที่ริ้วรอยนั้นเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ รอบดวงตา เช่น รอยที่หางตา หัวคิ้ว และหน้าผาก การใช้สาร Botox ฉีดเพื่อให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานชั่วคราว ก็จะช่วยลดริ้วรอยและป้องกันริ้วรอยไม่ให้เพิ่มขึ้นได้ โดยสาร Botox จะมีผลต่อกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนนั้นนานประมาณ 4 – 6 เดือน หลังจากนั้นประสิทธิภาพจะลดลง แต่ไม่ทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าฉีดสาร Botox ซ้ำ ครั้งที่ 2 และ 3 ฤทธิ์ของ Botox ก็จะคงอยู่ได้นานขึ้นในแต่ละครั้งที่ฉีด
ข้อดีของลดริ้วรอยโดยการฉีด Botox คือ ไม่ต้องการการพักฟื้น แต่ก็มีข้อควรระวังในการฉีดคือ อาจเกิดรอยช้ำเล็กๆ ตรงตำแหน่งที่ฉีดได้ โดยเฉพาะบริเวณหางตา หรือมีอาการปวดศีรษะหลังฉีด แต่จะเป็นชั่วคราวและหายได้เอง
การดูแลผิวในวัยสูงอายุ วัยนี้ผิวจะเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย เนื่องจากการผลิตไขมันที่เคลือบระหว่างชั้นผิวลดลง จึงทำให้ผิวแห้งระคายเคืองได้ง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้ผิวยังบางลง หลอดเลือดฝอยใต้ผิวยังเปราะและแตกง่าย จะเห็นว่าผู้สูงอายุมักมีรอยช้ำเขียว หรือแดงอมม่วงที่บาง คนเรียกว่า พรายย้ำ ได้ง่ายแม้ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง จึงควรเลือกใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของ Moisturizer และค่า pH ใกล้เคียงกับผิวปกติ ควรหลีกเลี่ยงน้ำอุ่นจัดเพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นทุกครั้งก็จะป้องกันการเกิดผื่นคันจากผิวแห้งในผู้สูง อายุได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเห็นว่าแม้อยู่ในวัยใดก็ตาม ผิวต้องการการดูแลที่เหมาะสม แต่อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไป โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าเรารับประธานอาหารเพียงพอก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานผลิตภัณฑ์อาหาร เสริมเพิ่มเติม ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ หาวิธีคลายเครียดอย่างเหมาะสมก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ