อิสราเอลเมินนานาชาติกดดัน ประกาศโจมตีกาซาต่อ

การโจมตีฉนวนกาซาตลอด 4 วันที่ผ่านมา เป็นเพียงปฏิบัติการขั้นแรกเท่านั้น กองทัพอิสราเอลเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการหลายสัปดาห์ จนกว่าจะมั่นใจว่า กลุ่มฮามาสจะยุติการยิงจรวดเข้ามายังประเทศอิสราเอล

รายงานระบุว่า การโจมตีทางอากาศถล่มฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอล ตลอด 4 วันที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 360 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กและสตรีอย่างน้อย 62 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน

รายงาน ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ด้านมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุว่า การโจมตีของกองทัพอิสราเอลส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ด้านมนุษยชนในฉนวนกาซา อย่างหนัก และประชาคมโลกควรเร่งกดดันรัฐบาลอิสราเอลให้ยุติการโจมตีโดยทันที ก่อน หน้านี้ นายบัน กี-มุน เลขาธิการ ยูเอ็น วิงวอนกลุ่มผู้นำระดับประเทศ ที่มีบทบาททั่วโลกให้เร่งเดินเกมยุติความรุนแรงอย่างเร่งด่วน

สมบัติทัวร์พลิกคว่ำที่พิจิตร ดับคาที่2ศพ-เจ็บอื้อ

เมื่อเวลาประมาณ 02.20 น. วันนี้ (31 ธ.ค.) เกิดอุบัติเหตุรถโดยสารของบริษัทสมบัติทัวร์ หมายเลขทะเบียน 14-3038 กรุงเทพมหานคร วิ่งระหว่าง กรุงเทพมหานคร-น่าน พลิกคว่ำ บนถนนทางหลวง 117 สายพิษณุโลก-นครสวรรค์ พื้นที่ อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตคาที่เป็นชาย 2 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งหมดถูกนำส่งโรงพยาบาลวชิรบารมี  รถขวางถนนทำให้จราจรบริเวณดังกล่าวติดขัดเป็นอย่างมาก

นครบาลแจกใบปลิว4หมื่นแผ่น เตือน นปช. ชุมนุมโดยสงบ

ใช้มาตรฐานเดียวกับการดูแลกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
หากปิดล้อมรัฐสภาขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาล
จะเข้าข่ายกระทำผิดข้อหากบฏ และจะออกหมายจับทันที
หากมีการกระทำรุนแรงออกนอกกรอบกฎหมาย
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะบันทึกภาพตลอดการชุมนุม พร้อมแจกใบปลิว 40,000 แผ่น
แจ้งเตือนให้ชุมนุมโดยสงบ ตามวิถีทางประชาธิปไตย
หากสถานการณ์เสี่ยงต่อความรุนแรง
ผู้นำการชุมนุมต้องสั่งสลายการชุมนุมทันที
ทั้งนี้ได้ย้ำให้เจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเด็ด
ขาด

ด้าน พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม
ซึ่งเดินทางมาดูแลการชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง ของกลุ่มนปช. กล่าวว่า
ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติ
และเชื่อว่าการชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะเดียวกันได้จัดกำลังตำรวจ
250 นาย ผลัดเปลี่ยนกันดูแล
และในช่วงเย็นจะเสริมกำลังจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ 191
เพิ่มเข้ามาอีก ในส่วนของบรรยากาศการชุมนุม กลุ่มนปช.
มีแนวร่วมทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ที่บริเวณหน้ารัฐสภา ช่วงบ่ายวันนี้
ว่า การ์ด นปช.ได้เริ่มปิดถนนบริเวณแยกอู่ทองในแล้ว
ห้ามรถยนต์สัญจรผ่านไป- มา อย่างเด็ดขาด ส่วนบนเวทีปราศรัย แกนนำ
นปช.แต่ละจังหวัด ได้ผลัดกันขึ้นเวที ปราศรัยโจมตีรัฐบาล อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ และกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กระจายกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยด้านในรัฐสภา
โดยมีการใส่กุญแจประตูรัฐสภาอย่างแน่นหนา


ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้นำป้ายประกาศ
สูง 4 เมตร มาติดตั้งบริเวณพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. จำนวน 10 แผ่น
แบ่งเป็น ที่บริเวณหน้ารัฐสภา 4 แผ่น หัวมุม ถ.อู่ทองใน 2 แผ่น
และสนามหลวง 4 แผ่น เตือนให้ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ
และอยู่ในภายใต้ระบอบประชาธิปไตย หากมีความวุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น
ผู้ชุมนุมต้องยุติการชุมนุมทันที เมื่อมีคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ยอดตายพุ่ง 225 คน อิสราเอลทิ้งบอมบ์ปาเลสไตน์

กองทัพอิสราเอลบุกโจมตีทางอากาศที่บริเวณเขตครอบครองของกลุ่มปาเลสไตน์หัวรุนแรง “ฮามาส” ในฉนวนกาซา ว่า จนถึงขณะนี้ ฝูงเครื่องบินรบของอิสราเอลยังคงระดมยิงขีปนาวุธถล่มแหล่งกบดานของกลุ่มฮา มาส รวมทั้งศูนย์บัญชาการหลายแห่งต่อ เนื่องจากวานนี้ (27 ธ.ค.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 255 คน บาดเจ็บกว่า 400 คน อาคารบ้านเรือนพังเสียหายหลายหลัง

ส่วนกลุ่มฮามาสได้ตอบโต้การโจมตีของอิสราเอลด้วยการยิงจรวดถล่มถิ่นพำนัก ของชาวอิสราเอลทางภาคใต้ ทำให้ชาวอิสราเอลได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

ฉายานายกฯ เทพประทาน นักข่าวสภาตั้งให้อภิสิทธิ์

สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ร่วมกันระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิก และการทำงานของ ฝ่ายนิติบัญญัติ ในรอบปี 2551 โดยเล็งเห็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้มีความสำคัญ ต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ จึงอาศัยเทศกาลปีใหม่นี้ ตั้งฉายาให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ตามผลงานที่ปรากฏออกมา ในมุมมองของสื่อมวลชน

รายงานอ้างสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ระบุว่า ในการตั้งฉายาทุกครั้งได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ และอารมณ์ขันโดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อคติ ปราศจากการแทรกแซง หรือตกเป็นเครื่องมือของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะตระหนักดีว่า ผู้ที่ได้รับฉายา อาจมีทั้งที่ถูกใจ หรือไม่ถูกใจ ทั้งนี้ฉายาที่ตั้งขึ้นได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำ รัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้

1.เหตุการณ์เด่นแห่งปี ได้แก่ เหตุการณ์นองเลือด 7 ต.ค. 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมรัฐสภาในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ขณะที่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ต้องปีนกำแพงหนีตาย กันอย่างโกลาหล

นอกจากนี้ ในรอบปี 2551 ยังมีเหตุการณ์ที่ต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติการเมืองไทย เมื่อเกิดความผันผวนอย่างหนักหน่วง ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องหลุดจากเก้าอี้ ด้วยคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ติดต่อกันถึง 2 คน ส่งผลให้ ส.ส.ต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในปีเดียวกันถึง 3 คน เริ่มตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

2.วาทะแห่งปี คือ "ม็อบมีเส้น" เป็นวิวาทะอันดุเดือดว่าด้วยกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุก ยึดทำเนียบรัฐบาล โดย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ของฝ่ายค้านแทน นายกรัฐมนตรี ด้วยอารมณ์ว่า "ทุกคนก็ทราบดีว่าม็อบนี้เป็นม็อบมีเส้น หากเป็นม็อบธรรมดาเรื่องจบไปนานแล้ว" ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาคำว่า "ม็อบมีเส้น" กลายเป็นข้ออ้างที่ฝ่ายรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชนนำมาใช้ในการโจม ตีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

3.ฉายา "สภาผู้แทนราษฎร" คือ "ค่ายกลนอมินิ" เป็นการสะท้อนภาพของสภาผู้แทนราษฎร ในยุคที่กลุ่มก๊วนการเมืองที่เคยมีอิทธิพลและครองอำนาจมาหลายปีถูกตัดสิทธิ์ ทางการเมือง จนต้องส่งคนใกล้ชิดและคนในครอบครัวมาเป็นทายาททางการเมือง และใช้ตัวแทนเหล่านี้เข้ามาต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ครอบครัวและพวกพ้อง รวมทั้งพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปลดล็อกพันธนาการทางการเมืองของผู้ชักใย อยู่เบื้องหลัง เปรียบเสมือนค่ายกลของอดีตนักการเมืองที่เคยทรงอำนาจ ใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นสมรภูมิ แทนกลุ่มของตัวเองที่หมดสิทธิทางการเมือง

4.ฉายาวุฒิสภา คือ "2ก๊กพกมีดสั้น" เป็นการฉายภาพให้เห็นถึงความไม่ลงตัวและความไม่เป็นเอกภาพของสภาสูง ที่มีที่มาแตกต่างกัน คือส่วนหนึ่งมาจากสรรหา และส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ่วงดุล ฝ่ายบริหารตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน มีการแบ่งขั้วและขัดขากันเองอย่างชัดเจนในหลายกรณีโดยเฉพาะความขัดแย้งในการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยทั้งฝ่าย ส.ว.สรรหาและ ส.ว.เลือกตั้ง พยายามรื้อระบบที่มาการเข้าสู่อำนาจของอีกฝ่ายหนึ่ง และทำลายล้างซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง

5.ฉายาประธานวุฒิสภา คือ "ทั่นเปา...เป่าปี่"เป็นฉายาฉันทามติที่มอบให้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เนื่องจากภายใต้ความคาดหวังว่าอดีตผู้พิพากษาอาวุโสท่านนี้เข้าสู่สภาสูง แล้ว จะสามารถนำพาองค์กรลูกผสมแห่งนี้ให้ปฏิบัติภารกิจบรรลุเจตนารมณ์ของรัฐ ธรรมนูญ ทั้งยังถูกคาดหมายจากสังคมว่าจะเป็นคนกลางในการคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิด ขึ้นในสังคม แต่สุดท้ายทั่นเปาประสพสุข กลับสร้างความผิดหวัง เพราะนอกจากจะไม่สามารถเป็นเสาหลักได้แล้ว ยังมีท่าทีวางเฉยต่อวิกฤตการณ์ ประดุจดังอาการของคนนั่งเป่าปี่อย่างสบายอารมณ์

6.ฉายาประธานสภาฯ คือ "ประธานลูกอุ้ม" เป็นฉายาของนาย ชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา วัย 80 ปีที่เกือบจะหลุดจากวงโคจรของการเมืองไทย แต่กลับได้ดิบได้ดี เมื่อมีอภิชาตบุตร อย่างนายเนวิน ชิดชอบ แม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และได้ส่งผู้เป็นพ่อ เข้ามาเป็นทายาททางการเมือง เพื่อคุมกระบวนการทุกอย่างของฝ่ายนิติบัญญัติ

7.ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน คือ "เทพประทาน" เป็นฉายาของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเบื้องหลังของนายอภิสิทธิ์ นับตั้งแต่ก้าวย่างขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค พยายามผลักดันทุกวิถีทางทั้งเกมในสภาและการกดดันนอกสภาเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เด่นชัดที่สุดคือเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในระหว่างที่พรรคพลังประชาชนยังไม่เคลียร์ว่าจะส่งใครเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนายสมัคร และพรรคร่วมรัฐบาลบอยคอตไม่เข้าร่วมประชุมสภาวันเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า นายสุเทพ ได้อาศัยความเก๋าเกมในสภา กลับลำพา ส.ส.ฝ่ายค้านเดินเข้าห้องประชุมสภา เสนอนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้คราวนั้น เทพยังไม่ประทานโอกาสให้นายอภิสิทธิ์ แต่ในที่สุด "เทพ" ก็อาศัยความจัดเจนทางการเมืองและสายสัมพันธ์ขั้นสุดยอด ดึงนายทุนนักธุรกิจและทหาร หนุนหลัง กดดันพรรคร่วมรัฐบาลเดิมให้เปลี่ยนขั้วมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ระหว่างที่พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเสนอใครแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในที่สุดฝันของนายอภิสิทธิ์ เป็นจริง ด้วยฝีมือชั้นเทพ ดังนั้น เส้นทางของอภิสิทธ์ จากผู้นำฝ่ายค้าน สู่ เก้าอี้นายกรัฐมนตรี จึงเป็นเทพประทานแท้ ๆ

8.ดาวเด่น คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นับได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของนายเรืองไกร ที่อาศัยช่องทางของกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร จนในที่สุดสามารถสร้างประวัติอีกหน้าหนึ่งของการเมืองไทย ด้วยการโค่นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นผลสำเร็จ จนได้รับการขนานนามว่า "แจ็คผู้ฆ่ายักษ์" จากกรณีรับจ็อบจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" จนเป็นที่ขยาดของนักการเมืองทั้งรัฐสภา

9.ดาวดับ คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ต้องยอมรับว่าหลังจากที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ชื่อชั้นของนายยงยุทธ ขึ้นมาผงาดเป็นแกนนำพรรคพลังประชาชน จนได้รับการยอมรับว่าเป็นสายตรงของนายใหญ่ ประกอบกับสามารถนำพรรคพลังประชาชนครองเสียงข้างมากในสภาหลังการยึดอำนาจของ คมช.จนได้รับการปูนบำเหน็จเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อควบคุมกลไกฝ่าย นิติบัญญัติ แต่สุดท้ายต้องตกเก้าอี้กลางคัน จากคดีทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้ง เป็นเหตุให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบ และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

10.คนดีศรีสภา คือ นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา ถือว่าเป็นส.ว.สรรหา ตัวแทนของผู้พิการทางทั้งประเทศ แม้จะมีความพิการทางสายตา แต่ก็ได้พยายามทำงานด้วยความมุ่งมั่น ผลักดันและเสนอกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้ด้อยโอกาสในสังคม เข้าร่วมประชุมสภาด้วยความสม่ำเสมอ ถือเป็นแบบอย่างที่นักการเมืองไทยพึงปฏิบัติ ให้สมกับสถานะ การเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย

นิสิต ม.เกษตรฯ ฉลองปีใหม่ เช้ากลายเป็นศพ ตกตึกดับ

เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางเขน เข้าตรวจสอบที่อาคารปฏิบัติการ เทคโนโลยีทางอาคาร ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน หลังได้รับแจ้งเหตุนิสิตตกลงมาเสียชีวิต ทราบชื่อต่อมา คือนายกัญญ์เอนก ใช้ได้สุข อายุ 22 ปี นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ นอนเสียชีวิต ศพติดอยู่ที่หลังคาชั้น 2
จากการสอบสวนเพื่อนนิสิต ทราบว่า เมื่อคืนมีการจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ที่ชั้น 4 จากนั้นได้แยกย้ายกลับ โดยช่วงเช้า มีเจ้าหน้าที่ และนิสิตเดินทางมาที่คณะ พบผู้ตายเสียชีวิตแล้ว ด้านตำรวจเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ตำรวจจะรอสอบปากคำเพื่อนนิสิตและรอผลการชันสูตรศพอีกครั้ง

วินจยย.เสื้อแดงบุกปชป. จี้อภิสิทธิ์จัดการมาเฟีย

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (26 ธ.ค.) ว่า เมื่อเวลา 13.15 น. มีกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างกรุงเทพฯ และปริมณฑล กว่า 200 คน นำโดย นายสุรัช ไชยพันธุ์ มาชุมนุมที่ถนนกำแพงเพชร 5 ตัดกับถนนเศรษฐศิริ บริเวณที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ โดยนำรถกระบะติดเครื่องขยายเสียง ปักหลักปราศรัยเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่มาเรียกเก็บค่าคุ้มครองกับวินรถจักรยานยนต์กว่า 50 เขต ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมถือธงชาติและธงสีแดงที่มีข้อความว่า “คิดถึงทักษิณ” และ “นปช.ห้วยขวาง-ดินแดง” นอกจากนี้มีผู้ชุมนุมบางคนโพกผ้าปิดหน้าปิดตา สวมเสื้อแดง และถือตีนตบด้วย



นายสุรัช กล่าวว่า มี กลุ่ม ส.ก. และ ส.ข.ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งประธานชุมชนที่เป็นหัวคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งตนเป็นมาเฟียเรียกเก็บค่าคุ้มครองวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยบางพื้นที่มีการตั้งวินขึ้นมาแย่งผู้โดยสาร เป็นเหตุให้พวกตนได้รับความเดือดร้อนมาก ดังนั้นจึงต้องการมายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีให้รับทราบและช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยทางกลุ่มจะให้เวลา 3 วัน จากนั้นจะมาชุมนุมที่ทำการพรรคอีกครั้งในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ เพื่อรับฟังคำตอบว่านายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ด้านนายชุมพล กาญจนะ ประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทนออกมารับหนังสือดังกล่าว พร้อมกับยืนยันว่า จะนำเรื่องดังกล่าวส่งให้ถึงมือนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนจะมีการแก้ไขอย่างไร นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ

จากนั้น กลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พลโทคณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมี พลตรี ธนา รำพึงกิจ ที่ปรึกษาแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้างฯ เรียกร้องให้ทหารออกมาแก้ไขปัญหา กรณีที่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ออกมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากวินจักรยานยนต์รับจ้าง โดยการเก็บส่วย และเก็บค่าเสื้อ รวมทั้งปัญหาเรื่องป้ายขาวที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เข้าสู่ระบบ ในฐานะที่กองทัพมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลความมั่นคงของบ้านเมือง และเป็นทหารของประชาชน ขณะที่ พลตรีธนา กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า จะนำเรื่องดังกล่าว เรียนให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาต่อไป

นายกฯคิดหนักเลิกหวยบนดิน หวั่นเสียค่าปรับพันล้าน

นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้พบปะพูดคุย และรับฟังข้อเสนอจากคณะกรรมการประสานงานองค์การพัฒนาเอกชน รวมทั้งเครือข่ายดูแลแก้ไขปัญหาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ซึ่งในส่วนขององค์การพัฒนาเอกชน ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล 10 ข้อ เพื่อนำมาดำเนินการเป็นนโยบายทั้งด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การสร้างความสมานฉันท์ การตั้งคณะกรรมการไต่สวนระดับชาติขึ้นคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ดูแลภาวะการว่างงาน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอต่างๆ พร้อมระบุ มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ในส่วนของการตั้งคณะกรรมการ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงต้องมีคนกลางขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งในส่วนของเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ทราบว่าขณะนี้หลายหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งในส่วนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว และส่งให้ตนเองในขณะที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้รับ เชื่อว่าผลสอบคงมีความเหมือนกัน ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบชุดที่รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตั้งขึ้น และมี นายปรีชา พานิชวงศ์ เป็นประธาน คณะกรรมการชุดนี้ได้ยกเลิกการตรวจสอบไปแล้ว เนื่องจากทราบมาว่าไม่ได้รับความร่วมมือ

ขณะที่เครือข่ายดูแลแก้ไขปัญหาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ได้นำเสนอแนวทางให้รัฐบาล ดำเนินการลด ละ เลิก อบายมุข การกำหนดทิศทางพัฒนาเด็กที่ยั่งยืน รวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนฟรี และ มีการขอให้รัฐบาลยกเลิกหวยออนไลน์นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยาก และต้องพิจารณาข้อกฎหมายก่อนว่า หากไม่ดำเนินการหวยออนไลน์แล้ว รัฐต้องเสียค่าปรับหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบค่าปรับมหาศาล ซึ่งวันนี้ต้องคิดหนักว่าจะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้มีการดำเนินการมานานแล้ว และเคยมีการฟ้องร้อง ซึ่งรัฐเป็นฝ่ายแพ้ ไม่แน่ใจว่าหากยกเลิก รัฐจะเสียค่าปรับอีกหรือไม่ ซึ่งเป็นเงินจำนวนนับพันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยืนยันไม่สนับสนุนอบายมุข รวมทั้งการตั้งบ่อนกาสิโน เพราะไม่มีเมืองใด ที่เติบโตได้ด้วยอบายมุขแต่เมืองนั้นไม่เสื่อม

เอแบคโพลล์เผย สุขุมพันธุ์ นำ-ปลื้ม ลด-แซม เพิ่ม

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยโพลล์เลือกตั้ง เรื่อง โพลล์เลือกตั้งผู้ว่า ฯ กทม. ครั้งที่สอง : ใครนำใครตาม ใครช่วงชิงฐานเสียงของใคร จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 2,063 ตัวอย่าง ระหว่าง 19 – 24 ธันวาคม 2551 พบว่าร้อยละ 68.8 ทราบแล้วว่าวันที่ 11 ม.ค. 2552 เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ส่วนผู้สมัครที่ประชาชนจะลงคะแนนให้ อันดับแรก หรือร้อยละ 35.6 ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อันดับสอง คือร้อยละ 29.6 ตั้งใจจะเลือก ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือคุณปลื้ม และอันดับสามหรือร้อยละ 25.8 ตั้งใจจะเลือก นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ “แซม” จากที่ครั้งก่อนอยู่ที่ร้อยละ 36.4 , 37.0 และ 17.3 ตามลำดับ

ทั้งนี้ ผอ.สำนักวิจัยฯ กล่าวอีกว่า ในทางสถิติ เมื่อเทียบกับครั้งก่อนอาจกล่าวได้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีฐานสนับสนุนจากประชาชนที่ตั้งใจจะเลือกเท่าเดิม แต่ฐานสนับสนุนเลือก ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ลดลง แต่ไปเพิ่มฐานสนับสนุนนายยุรนันท์ ส่วนนายแก้วสรร อติโพธิ ครั้งก่อนคะแนนรวมอยู่ในกลุ่มผู้สมัครอื่น ๆ แต่ครั้งนี้มีคะแนนชัดเจน ร้อยละ 4.4 ขณะที่กลุ่มผู้สมัครอื่น ๆ คะแนนรวมลดลงจากร้อยละ 9.3 เหลือร้อยละ 4.6

อย่างไรก็ดี นายนพดล กล่าวเพิ่มว่า เมื่อจำแนกตามเพศ ทั้งกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มากที่สุด โดยผู้ชายมากกว่าเล็กน้อย คือ ร้อยละ 36.5 กับ 35.0 รองลงไปคือ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ผู้หญิงตั้งใจจะเลือกมากกว่าผู้ชาย คือ ผู้หญิง ร้อยละ 30.7 ผู้ชาย ร้อยละ 28.0 เช่นเดียวกับนายยุรนันท์ ที่ผู้หญิงตั้งใจจะเลือกมากกว่า อยู่ที่ร้อยละ 26.2 ผู้ชายร้อยละ 25.5 ส่วนช่วงอายุ พบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้รับความนิยมสูงสุดในแทบทุกกลุ่ม สูงสุดอยู่ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ยกเว้นกลุ่มอายุ 30-39 ปี ที่ตั้งใจจะเลือก ม.ล.ณัฏฐกรณ์ มากที่สุดร้อยละ 35.1 ส่วนนายยุรนันท์ ยังอยู่อันดับที่ 3 ในทุกช่วงอายุ ช่วงอายุที่ได้คะแนนมากที่สุด คือ กลุ่มคนอายุ 40-49 ปี

“ระยะ เวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า โอกาสที่จะพลิกผันในกลุ่มผู้สมัครทั้ง 3 คน ยังคงมีสูง เพราะมองได้อย่างน้อยสี่มิติ คือ มิติที่หนึ่ง อาจมองได้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งหากฐาน สนับสนุนของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กับ นายยุรนันท์ ช่วงชิงกัน มิติที่สอง ถ้าฐานสนับสนุนของนายยุรนันท์ สามารถทะลุผ่านร้อยละ 35 ขึ้นมาได้ ก็อาจจะได้รับชัยชนะ ตามคำกล่าวที่ว่า คนกรุงเทพฯ มักจะเลือกผู้ว่าฯ ที่เป็นคนละขั้วกันกับพรรครัฐบาลระดับชาติ มิติที่สาม คือ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ จะชนะโดยเสียงส่วนใหญ่จากพลังเงียบ ที่ไม่สนับสนุนผู้สมัครจากพรรคการเมือง ทั้งสองพรรค และมิติที่สี่ ถ้าฐานสนับสนุนของ “ผู้สมัครชายหนุ่ม” สองคนรวมตัวกันได้โอกาสจะชนะ “ผู้สูงอายุ” มีถึงประมาณร้อยละ 20 เลยทีเดียว” นายนพพดล กล่าว

กษิตสั่งทูตทั่วโลก แจงประชาธิปไตยไทย

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายกษิตได้พบปะข้าราชการระดับสูง และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยได้มีการถ่ายทอดไปยังสำนักงานของกระทรวงการต่างประเทศที่มีอยู่ทั่วโลก โดยนายกษิต กล่าวว่า จะเข้ามาทำงานด้วยความเรียบง่าย ยุติธรรม ซึ่ง นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวต้อนรับและถือว่า นายกษิตเป็นรุ่นพี่ โดยนายกษิต กล่าวว่า จะทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดี ให้ยึดถือเป็นแบบอย่าง

ทั้งนี้ นายกษิตได้กำชับให้กระทรวงการต่างประเทศทำเอกสารเผยแพร่ผ่านสถานเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.คำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2.พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตปฏิญญาณตน 3.คำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่จะมีต่อรัฐสภา 4.มาตราการ 9 ข้อของนายกรัฐมนตรีที่กำกับการทำงานของคณะรัฐมนตรี

นายกษิต กล่าวอีกว่า ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศทำงานใกล้ชิดรัฐสภามากที่สุด ซึ่งในวันอังคาร เป็นวันประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) และวันพฤหัสบดี เป็นวันตอบกระทู้ถามสด ซึ่งหากเป็นไปได้ถ้าไม่ติดภารกิจในต่างประเทศ จะขอให้จัดตารางให้ว่างใน 2 วันดังกล่าว นอกจากนี้ ขอให้หมั่นติดต่อกับคณะกรรมาธิการคณะต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลมากที่สุด รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำงานภาคประชาสังคมให้มากขึ้นด้วย

สำหรับวาระงานเร่งด่วนคือการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน อีกทั้งยังมีเรื่องกัมพูชา ซึ่งนายวศิน ธีระเวชญาน จะยังคงทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา ต่อไป นอกจากนี้ จะเร่งเยือนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคโดยเร็ว

นอกจากนี้ นายกษิต ได้ย้ำให้กระทรวงการต่างประเทศ สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และกงสุลใหญ่กิตติมาศักดิ์ ชี้แจงอธิบายกับต่างชาติถึงความเป็นประชาธิปไตย และความภูมิใจของประเทศ ในการที่ไทยมีประชาธิปไตย มีการเปลี่ยนแปลงภายใต้กรอบรัฐสภา และประชาธิปไตย มากขึ้นกว่าเดิม โดยชี้แจงย้ำว่า สถาบันกษัตริย์ ในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ การที่พระองค์มีเมตตาทำงานเพื่อประชาชนมากกว่า 60 ปี ไม่เกี่ยวข้องทางการเมือง ตามที่สื่อต่างประเทศพยายามจะโยง

เข็ดขยาดลัทธิเอาอย่างกลุ่มผู้ชุมนุม

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากได้ร้องเรียนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เร่งแก้ปัญหาแรงงานประท้วงผู้ประกอบการ ขอเงินโบนัสเพิ่มโดยวิธีการปิดโรงงาน ห้ามผู้บริหารเข้ามาทำงาน หรือประกาศหยุดงานแล้วห้ามเอาผิด เนื่องจากหลายรายเริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต่างชาติหวั่นว่าจะเป็นแฟชั่นที่ลุกลามทั่วประเทศ จนรายใหม่ไม่กล้าเข้ามา รัฐบาลจึงควรใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการลดความวุ่นวายที่เกิดขึ้น “ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ประสบปัญหาหนักสุด กรณีที่พนักงานประท้วงขอเพิ่มโบนัสหรือขึ้นเงินเดือน โดยเฉพาะทุนสหรัฐฯและญี่ปุ่น ซึ่งการปิดโรงงานหรือปิดถนนที่เกิดขึ้น นักลงทุนมองว่าตำรวจไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ จนล่าสุดเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ต้องขอให้ นายกรัฐมนตรีไทยเร่งแก้ปัญหาตรงนี้ ก่อนที่จะบานปลายไปทั่วประเทศแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับปากจะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน”

ทั้งนี้ ภาคเอกชนมองว่าการประท้วงปิดโรงงาน ด้วยการเพิ่มโบนัสไม่ควรเกิดขึ้น หากเห็นว่าบริษัทมีกำไรมากและพนักงานไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ควรใช้ช่องทางกฎหมายในการฟ้องร้อง ขณะที่ภาครัฐก็ควรใช้กฎหมายดำเนินคดีกับพนักงานที่ทำผิดกฎหมายด้วย

นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน สอท. กล่าวว่า เตรียมนำภาคเอกชนมาหารือกับ รมว.แรงงานในการแก้ปัญหาแรงงานประท้วงเพื่อขอโบนัส เพราะการปิดโรงงานหรือปิดถนน กดดันให้ผู้บริหารอนุมัติตามข้อเรียกร้อง จะทำให้ต่างชาติยิ่งตื่นตระหนกกับสถานการณ์ยิ่งขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเบื้องต้นจะหาแนวทางแบบประนีประนอม ซึ่งหากเป็นเหตุการณ์ลุกลามและรุนแรง ความเชื่อมั่นก็จะลดลง “สหภาพแรงงานของบางบริษัทเข้มแข็งเกินไป ใช้วิธีการประท้วงที่รุนแรง มีผลกระทบต่อบริษัท เช่น การหยุดงาน แต่ที่ สอท.กลัวคือต่อไปเม็ดเงินจากต่างประเทศจะเข้ามาในไทยยากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานตามมา”

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธาน สอท. กล่าวว่า ปัญหาว่างงานในปีหน้าจะหนักมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ 1 ใน 10 ของไทย โดยไตรมาส 4 ของปีนี้ คาดว่าจะเกิดการว่างงานในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมรวม 525,000 คน ไตรมาส 1 ปี 2552 จำนวนคนว่างงานจะเพิ่มเป็น 630,000 คน และไตรมาส 2 ปี 2552 จะเพิ่มเป็น 900,000 คน ทั้งนี้ จากการสุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของ สอท.พบว่า 96.4% ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่หดตัว แบ่งเป็นได้รับผลกระทบที่รุนแรง 2.7% กระทบปานกลาง 53.3% และกระทบน้อยมี 4.4% ขณะเดียวกันพบว่าผู้ประกอบการจะเลิกจ้างงาน 12.4% ยังไม่แน่ใจว่าเลิกจ้างหรือไม่ 31.6% และไม่มีนโยบายเลิกจ้าง 56%.

กษิตไม่กดดันขึ้นเวทีพธม. ขอเวลาพิสูจน์การทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อเวลา 17.40 น. วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะเป็นคนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้รู้สึกกดดัน เพราะอาสาเข้ามาทำงาน ก็จะทำงานอย่างเต็มที่

เมื่อถามว่าจะถูกมองเป็นภาพลบและมีผลกระทบต่อการทำงานหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ควรจะให้เวลาตนได้ทำงานก่อน เพราะตลอดเวลา 37 ปี ที่ได้รับราชการมา ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย และที่เข้ามาทำงานก็เป็นการอาสา ไม่มีใครสั่งให้มา จึงอยากให้ดูประวัติของตนตรงนี้ด้วย วันนี้อดีตที่ผ่านมาของตนในการไปขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เป็นอดีตแห่งความงดงาม ไม่ใช่อดีตแห่งความเลวร้าย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องหนีไปไหน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองว่าขอให้มองเป็นเรื่องสนุกนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูด เพราะเพิ่งจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่ ซึ่งหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว และถึงเวลาที่เหมาะสม ตนก็พร้อมที่จะชี้แจงในสิ่งที่สังคมสงสัย

ครม.หน้าใหม่ถ่ายภาพหมู่ ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์


บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลเริ่มคึกคัก หลังจากที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทั้ง 36 คน ทยอยเดินทางมารวมตัวที่ทำเนียบฯ เพื่อถ่ายภาพหมู่ ก่อนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในช่วงเวลา 17.00 น. ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต โดยนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางมาถึงเป็นคนแรก แต่ยังไม่กล้าลงจากรถยนต์ เนื่องจากมีกองทัพสื่อมวลชนรอทำข่าวจำนวนมาก

ทั้ง นี้ รัฐมนตรีทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดขึ้น รวมทั้งได้ถ่ายรูปหมู่ด้วยกันบริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ล่าสุดนายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเดินทางออกจากทำเนียบฯ แล้ว


ก่อน หน้านี้ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ ถึงกรณีที่มีผู้นำหลายประเทศต้องการให้เลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนออกไป เพราะติดภารกิจ โดยเห็นว่า ทุกประเทศต้องหาวันที่สะดวกพร้อมกัน ประเด็นสำคัญคือจะไม่ใช่เลื่อนเพราะประเทศไทยไม่พร้อม วันนี้ไทยมีความพร้อมจัดการประชุม และจะมอบหมายให้ ทางเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ประสานกับประเทศต่างๆ เท่าที่ทราบบางประเทศติดงานวันชาติ บางประเทศติดการอภิปรายงบประมาณ ก็ต้องมาดูว่าช่วงไหนที่จะราบรื่นที่สุด และส่วนตัวยังคิดว่ายังอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เช่นเดิม

เกิดแผ่นดินไหวในพม่า คาดไม่ส่งผลกระทบในไทย

วันนี้ (21 ธ.ค.) ว่า ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รายงานเมื่อเวลา 06.00 น. วันนี้ เกิดแผ่นดินไหวในประเทศพม่า ขนาด 5.3 ริกเตอร์ ศูนย์กลางห่างจาก อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน 418 กิโลเมตร

ทั้งนี้ คาดว่า เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวไม่กระทบกับประเทศไทย โดย ล่าสุด ยังไม่มีรายงานความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น

'อำนวย' ขู่เสื้อแดงชุมนุม ใช้มาตรฐานเดียวกับพธม.

ภายหลังที่ สมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ตั้งฉายา พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองโฆษกนครบาล ว่า“นวยทนได้” เพราะแม้ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อว่าทุกวัน แต่ก็ยังเฉย

ล่า สุด พล.ต.ต.อำนวยให้สัมภาษณ์ทางวิทยุคลื่น 100.5 เอฟเอ็ม โดยกล่าวว่า เป็นมุมมองหนึ่ง การตั้งฉายานี้ก็เหมือนกับให้เกียรติด้วยซ้ำไป เท่ากับว่าตนมีน้ำอดน้ำทน แม้ว่าจะโดนทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง ก็ต้องอดทน ซึ่งปกติก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ซึ่งนั้นคือแง่ของการตั้งฉายาให้ แต่ถ้ามองในแง่ไม่ดี ก็อาจจะมองได้ว่าซ่า มายืนโต้ลม โต้ฟ้าอยูได้ ซึ่งได้มองต่อไปว่า ถ้าไม่มีคนอย่างตนอยู่บ้าง ก็คงจะแย่ ซึ่งทางสมาคมฯ น่าจะตั้งฉายาที่ถูกต้องเลยตั้งแต่ต้นปีว่า “สายล่อฟ้า” จนสุดท้ายเลยคือ “สีทนได้” ซึ่งน่าจะบวกไปเลยว่า “สายล่อฟ้าทนได้”

รอง โฆษกนครบาล กล่าวเพิ่มว่า ขอแก้ข่าวในการออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะดุดัน จริงๆ แล้วเป็นการจรรโลงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม เพราะถ้าบ้านเมืองเราไม่มีขื่อไม่มีแปร ใครจะทำผิดกฎหมายอะไรก็ได้นั้นก็คงจะอยู่กันลำบาก และถ้าไม่มีกฎ กติกา มารยาท สังคมไม่เคารพกฎหมาย ซึ่งตำรวจมีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเบื้องต้น ก็ต้องดูแลในส่วนนี้

“ซึ่ง กรณีที่ผมถูกวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปยึดสนามบิน ผมเป็นคนพูดคนแรกว่า การทำแบบนี้เข้าข่ายการก่อการร้ายแล้ว เพราะในตัวบทกฎหมายชัดเจนว่าเป็นการก่อการร้าย เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าการทำอย่างนี้ไม่ผิด อนาคตคนอื่นๆ ก็สามารถที่จะมายึดสนามบินได้ ก็จะเป็นการสร้างปัญหาตามมาตลอด” พล.ต.ต.อำนวย กล่าว

ทั้ง นี้ พล.ต.ต.อำนวย กล่าวอีกว่า ต่อไปนี้จะไม่กล่าวถึงสีเสื้อ เพราะนายกรัฐมนตรีบอกว่าจะมีแค่ 3 สี คือ แดง ขาว น้ำเงิน จะไม่มีการแบ่งฝ่าย ซึ่งจากกรณีที่กล่าวข้่่างต้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาโต้ว่าเขาไม่ผิด ซึ่งไม่ผิดกติกา เพราะสามารถออกมาโต้แย้งได้ เพราะคนที่ทำก็สามารถบอกได้ว่าเข้าทำมันไม่ผิด แต่ส่วนตัวเห็นว่าผิด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

รอง โฆษกนครบาล กล่าวเพิ่มว่า หลังจากนั้น พล.ต.อ. จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่ได้รับการยอมรับในสังคม ก็ได้ออกมาบอกว่า เป็นการก่อการร้าย ซึ่งนักกฎหมายระดับโลกก็ได้ออกมาบอกว่า ไม่ใช่การก่อการร้ายธรรมดาแต่เป็นการก่อการร้ายระดับสากล

ต่อ ข้อคำถามที่ว่า สื่อต่างชาติออกมารายงาน ในลักษณะที่กลุ่มพันธมิตรฯเอานักท่องเที่ยวเป็นตัวประกันด้วยนั้น รองโฆษกนครบาล กล่าวต่อว่า เป็นการบังคับเครื่องบินของต่างชาติ อยู่ภายในสนามบิน และคนต่างชาติถูกกระทำด้วยนั้น เป็นการก่อการร้ายสากล ซึ่งสามารถฟ้องศาลโลกได้เลย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องออกมาปราม

“อย่า ให้มันพัฒนาไปสู่การก่อการร้้ายเลย ขณะนี้ศาลแพ่งก็ได้มีคำสั่งออกมาคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ก็ควรเอาบันไดตรงนี้ถอยออกมา ปรากฎว่าเจ้าตัวไม่ยอม ก็เลยหันมาเล่นผมซะเลย เพราะออกมาพูดทุกวัน และผลพวงจากผู้ที่ให้การสนับสนุนเพราะจะต้องโดนกฎหมายฟอกเงินด้วยเช่นกัน” รองโฆษกนครบาล กล่าว

พล. ต.ต.อำนวย กล่าวด้วยว่า ยังคงยืนยันในหลักการ หน้าที่ ความถูกต้อง แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันก็ตาม เพราะส่วนตัวเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย ไม่มีความรู้สึกว่าต้องถอดใจ เพราะนั้นก็เป็นที่มาของคำว่า สีทนได้ ซึ่งคำๆนี้ เป็นคนที่พูดออกมาเอง ตอนแถลงข่าว ซึ่งก็ได้พูดต่อว่า สีที่ว่าเป็นสีกากี ไม่ใช่แดง หรือเหลือง และที่ต้องทนก็เพราะว่า อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก

ต่อ ข้อคำถามที่ว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม 2551 นี้ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะนัดชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง และจะรอไปสภาในวันแถลงนโยบาย รองโฆษกนครบาล กล่าวว่า ต้องอยู่ในกรอบมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งการชุมนุมแสดงความเห็นด้วยหรือไม่ สามารถทำได้ แต่จะต้องสงบและปราศจากอาวุธ เพราะหากมีอาวุธเมื่อใดก็จะไม่อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ก็จะไม่ใช่การชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการเข้าควบคุม และดำเนินการได้ทันที เพราะได้ทำผิดกฎหมายก็สามารถจับดำเนินคดี เหมือนกับที่เอาก้อนหินไปปาใส่รถ ส.ส. เพราะหากมีแกนนำก็ต้องโดนหมด หากมีการไปยึดที่นั้นที่นี้ ก็โดนข้อหากบฏหมด เพราะใช้มาตรฐานเดียวกันพูดในวันนี้เลย

นายกส่งชื่อครม.ใหม่ นำขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (19 ธ.ค.) ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งให้กับนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย โดยยืนยันว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะสามารถทำงานได้ ส่วนบุคคลที่เป็นคนนอกที่เข้ามารับตำแหน่ง ได้ตรวจสอบดูอย่างรอบคอบในเรื่องของความเหมาะสม ไม่มีเงื่อนไขอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะรัฐมนตรีแต่ละคนที่จัดสรร ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะต้องการให้การทำงานสามารถเริ่มต้นได้ ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีที่เข้ามาทำหน้าที่ และไม่สามารถทำงานได้ ก็พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง

นาย อภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์รู้สึกเห็นใจกับสมาชิกพรรคบางคนที่ไม่มีตำแหน่ง อาทิ นายจุติ ไกรฤกษ์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และนายนิพนธ์ บุญญามณี ซึ่งเชื่อว่า บุคคลเหล่านี้จะมีโอกาสที่จะรับตำแหน่งในอนาคตอย่างแน่นอน และยืนยันว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี ไม่มีกลุ่มนายทุนเข้ามาครอบงำพรรคประชาธิปัตย์

ทำเนียบเล็งทำพิธีทางพราหมณ์แก้ไสยศาสตร์

เจ้า หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ได้นำสื่อมวลชนขึ้นไปตรวจสอบความผิดปกติของท้าวมหาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ประดิษฐานบนชั้นดาดฟ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ที่ข้าราชการให้ความเคารพสักการะ ซึ่งพบว่า พระเนตรทั้ง 4 หน้า มีรอยถูกควักออกโดยใช้ปูนปาสเตอร์มาปิดทับ และใช้สีผึ้งและแผ่นทองปิดทับ ให้สีเหมือนกับองค์เดิม โดยก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีพราหมณ์มาตรวจสอบ และเสนอแนะว่า ควรจะมีการทำพิธีเบิกพระเนตร โดยจะมีการประกอบพิธีทางพราหมณ์ ตามประเพณีที่ถูกต้อง เพื่อแก้พิธีไสยศาสตร์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทำพิธีทาง ไสยศาสตร์สะกด ข่ม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ทั้งปืนใหญ่ ที่อยู่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และตามจุดต่าง ๆ รอบทำเนียบรัฐบาลอีกประมาณ 10 จุด

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 10.30 น. ณ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ นายอภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาร่วมทำความสะอาดทำเนียบฯ กับข้าราชการทุกคนและกล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้ามาทำเนียบฯ เป็นวันแรกว่า ผมหวังว่าเร็ววันนี้ทำเนียบฯ จะกลับมาอยู่ในสภาพซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมืองได้อีก และจะเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง เรากำลังกลับเข้าสู่ความปกติ พร้อมกล่าวว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นเพราะถือว่าที่นี่คือสถานที่ทำงาน แต่วันนี้ที่มา เพื่อดูในแง่ของการเป็นสัญลักษณ์ ความเป็นหน้าตาของประเทศ ซึ่งกำลังมีการฟื้นฟู

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานที่ทำเนียบฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อถวายสัตย์ฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อถามว่า เห็นสภาพทำเนียบฯ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากจะเห็นการปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด

ทำเนียบเล็งทำพิธีทางพราหมณ์แก้ไสยศาสตร์

เจ้า หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ได้นำสื่อมวลชนขึ้นไปตรวจสอบความผิดปกติของท้าวมหาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ประดิษฐานบนชั้นดาดฟ้า ตึกไทยคู่ฟ้า ที่ข้าราชการให้ความเคารพสักการะ ซึ่งพบว่า พระเนตรทั้ง 4 หน้า มีรอยถูกควักออกโดยใช้ปูนปาสเตอร์มาปิดทับ และใช้สีผึ้งและแผ่นทองปิดทับ ให้สีเหมือนกับองค์เดิม โดยก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีพราหมณ์มาตรวจสอบ และเสนอแนะว่า ควรจะมีการทำพิธีเบิกพระเนตร โดยจะมีการประกอบพิธีทางพราหมณ์ ตามประเพณีที่ถูกต้อง เพื่อแก้พิธีไสยศาสตร์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ทำพิธีทาง ไสยศาสตร์สะกด ข่ม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ทั้งปืนใหญ่ ที่อยู่บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และตามจุดต่าง ๆ รอบทำเนียบรัฐบาลอีกประมาณ 10 จุด

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 10.30 น. ณ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ นายอภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาร่วมทำความสะอาดทำเนียบฯ กับข้าราชการทุกคนและกล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้ามาทำเนียบฯ เป็นวันแรกว่า ผมหวังว่าเร็ววันนี้ทำเนียบฯ จะกลับมาอยู่ในสภาพซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมืองได้อีก และจะเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง เรากำลังกลับเข้าสู่ความปกติ พร้อมกล่าวว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นเพราะถือว่าที่นี่คือสถานที่ทำงาน แต่วันนี้ที่มา เพื่อดูในแง่ของการเป็นสัญลักษณ์ ความเป็นหน้าตาของประเทศ ซึ่งกำลังมีการฟื้นฟู

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานที่ทำเนียบฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อถวายสัตย์ฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อถามว่า เห็นสภาพทำเนียบฯ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากจะเห็นการปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด

ตร.จับแล้ว 1 ใน 6 ผู้ต้องหา ใช้ก้อนหินปารถ ส.ส.

เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 สามารถจับกุม 1 ใน 6 ผู้ต้องหาที่ปรากฏภาพตามหมายจับ 2 ข้อหา คือทำร้ายร่างกาย ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกักขังหน่วงเหนี่ยว ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีปาหินใส่รถ ส.ส.ภายหลังทราบผลโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา คือ นายโชคชัย คำลือ ที่ริมถนนจักรพงษ์ ใกล้กับท้องสนามหลวง

เบื้อง ต้น นายโชคชัย รับสารภาพว่า มาฟังการปราศรัยของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทุกวัน เพราะชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และวันเกิดเหตุ เห็นรถ ส.ส.ทยอยออกจากรัฐสภา โดยมีตำรวจคุ้มกันเป็นพิเศษ เชื่อว่าเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงหยิบอิฐตัวหนอนปาใส่รถยนต์ด้วยความแค้นหลังรู้ว่าพรรคเพื่อไทยแพ้โหวต เลือกนายกรัฐมนตรี

ด้าน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ระบุว่า ศาลแขวงดุสิตได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 6 คนใน 2 ข้อหา ไม่ใช่ 3 ข้อหาตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ พร้อมยืนยันว่า จะเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลืออีก 5 คนมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด

ทักษิณโฟนอินอีกรอบ ห่วงประชาธิปัตย์บริหารประเทศยาก

ทางทีมงานรายการความจริงวันนี้ ได้จัดงานระดมทุนอุ้มรายการความจริงวันนี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เป็นโต๊ะจีนจำนวน 70 โต๊ะ ราคาโต๊ะละ 500,000 บาท ตั้งเป้ารายได้ รวม 35 ล้านบาท

โดยบรรยากาศของงานไม่คึกคักอย่างที่คาดการณ์กันไว้ มีผู้มาร่วมงานไม่ถึง 70 โต๊ะ ตามที่ผู้จัดตั้งเป้าไว้ โดยมีรายได้ประมาณ 17 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ ทางผู้ดำเนินรายการทั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ผลัดกันขึ้นกล่าวบนเวทีถึงจุดประสงค์ของการจัดงานนี้ และระบุว่าการจัดรายการ "ความจริงสัญจร" ครั้งต่อไป ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 นั้น จะทำเรื่องขอเช่าสนามกีฬากองทัพบก

อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ของงานนี้อยู่ที่นายณัฐวุฒิ ได้ต่อโทรศัพท์ถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพูดคุยกับผู้ที่มาร่วมงานประมาณ 10 นาที โดยอดีตนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่ในขณะนี้ และมั่นใจว่าจะได้กลับประเทศไทย แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาอย่างไร

"ผมเป็นหนี้บุญคุณทุกท่าน เมื่อมีโอกาสได้กลับมาแผ่นดินเกิดอีกครั้งหนึ่ง ผมจะตอบแทนให้ และผมมั่นใจว่า ผมจะได้กลับและจะไม่กลับมาในสภาพที่หมดลมหายใจแน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

หมอกฤษฏ์ยอมขอโทษ เสียใจทำลีเดียเดือดร้อน

กรณี ลีเดีย-ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา นักร้องสาวเจ้าหญิงอาร์แอนด์บี ค่ายอาร์เอส ยื่นฟ้องคดีทั้งอาญาและแพ่ง กับนายศุกฤษฏ์ ปทุมศรีวิโรจน์ หรือ "หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม" หมอดูชื่อดัง ที่ "คอนเฟิร์ม" ว่าเธอตั้งครรภ์ทำให้เกิดความเสียหายนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (17 ธ.ค.) นายศุกฤษฏ์ ได้ให้สัมภาษณ์รายการ "สยามทูเดย์" ทาง ททบ.5 ขอโทษลีเดีย และครอบครัว ที่ทำให้เดือดร้อน ทำให้ ลีเดีย ร้องไห้ ซึ่งในฐานะผู้ชายเห็นแล้วรู้สึกแย่มาก และพร้อมรับสภาพถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม หากมีการพูดคุยกันได้ก็ดี แต่ต้องไม่ผ่านคนกลาง เพราะเกรงว่า จะทำให้การสื่อสารผิดพลาด

นายศุกฤษฏ์ กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เป็นเพียงการทำนายที่ผิดพลาดเท่านั้น และต่อไปหากจะทำนายใครต้องดูเป็นรายๆ ระมัดระวังมากขึ้น และจะไม่พาดพิงถึงคนอื่น ส่วนกรณีหมอดูรุ่นพี่บอกว่าคนเป็นหมอดูถ้าทำนายผิดต้องหยุดทำงานนั้น ตนหยุดแล้วในกรณีนี้ แต่การทำนายเป็นอาชีพซึ่งต้องทำต่อไป

หมอดูคอนเฟิร์ม ยังกล่าวถึงเรื่องโทรศัพท์ขู่ฆ่า ว่า คาดว่าเป็นมือที่ 3 ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วน แต่คงไม่ทำอะไร เพราะอยากให้เรื่องจบ ดังนั้น จะไม่มีการฟ้องกลับใคร รวมถึงจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีก

แห่เสนอซื้อรองเท้าที่ขว้างใส่ บุช สูงลิ่ว 350 ล้านบาท

นายมันทาดาร์ อัลไซดี ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์อัลแบกแดเดีย วัย 29 ปี ที่ก่อเหตุขว้างรองเท้าใส่ผู้นำสหรัฐฯ ล่าสุดเขาได้ไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อผู้พิพากษาสอบสวน ยอมรับว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง ส่วนการที่พี่ชายของนายมันตาเซอร์ อัล ไซดี ออกมาอ้างว่า น้องชายถูกทำร้ายระหว่างถูกทางการอิรักควบคุมตัว จนเป็นเหตุให้แขนและกระดูกซี่โครงหัก ทั้งยังมีอาการช้ำในด้วยนั้น ทางกองทัพอิรักปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง

นายมันทาดาร์ อัลไซดี ยังคงถูกทางการอิรักควบคุมตัวเอาไว้ ระหว่าง ที่ผู้พิพากษากำลังสอบสวนเพื่อรวบรวมหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ซึ่งอาจกินเวลานานหลายเดือนกว่าที่นักข่าวอิรักผู้นี้ จะถูกพิจารณาคดี แต่ถ้าเขาถูกตั้งข้อหาพยายามสังหารประธานาธิบดีสหรัฐ โทษจำคุกก็อาจอยู่ที่ 7 ถึง 15 ปี

ขณะที่ชาวอิรักต่างออกมาชุมนุมทั่วประเทศต่อกันเป็นวันที่ 2 เพื่อสดุดีวีรกรรมของนายมันทาดาร์ อัลไซดี และเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวเขา ส่วนรองเท้าที่ขว้างใส่ผู้นำสหรัฐฯ นั้น มีคนอาหรับจำนวนมากเสนอซื้อ โดยให้ราคาสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 350 ล้านบาท

ปตท.ขึ้นเอ็นจีวีม.ค.ปีหน้า

ปตท.เสนอปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี 11 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมที่ กพช.มีมติให้ปรับเพิ่มในราคาเพดานไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2552 โดยจะมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป จากราคาปัจจุบัน 8.50 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนสาเหตุที่ต้องขึ้นราคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บมจ.ปตท. กล่าวว่า เพราะ ต้นทุนทั้งระบบการจำหน่ายก๊าซอยู่ในระดับสูง และราคาต้นทุนเอ็นจีวีที่แท้จริงอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เดิม คือ ราคาก๊าซเอ็นจีวีจะขึ้นไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันดีเซล การปรับขึ้นในอัตรา 11 บาท จึงถือว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ตั้งแต่ ปตท. จำหน่ายก๊าซเอ็นจีวี มีปัญหาขาดทุนมาโดยตลอด โดยปีนี้รับภาระขาดทุน 3,700 ล้านบาท ปี 2550 ขาดทุน 1,900 ล้านบาท และปี 2549 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท

นาย ณัฐชาติ กล่าวด้วยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่ลดต่ำมาก ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซเอ็นจีวีทดแทนน้ำมันลดลง โดยปัจจุบันยอดการติดตั้งเอ็นจีวีของรถยนต์อยู่ที่ 150-200 คันต่อวัน จากเดิมที่ในช่วงราคาน้ำมันสูงสุดกว่า 40 บาทต่อลิตร ยอดการติดตั้งอยู่ที่ประมาณ 450-500 คันต่อวัน ดังนั้น เมื่อยอดติดตั้งลดลง ปตท.จึงอยู่ระหว่างการทบทวนแผนลงทุนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ภายในปีนี้การเปิดสถานีจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวียังเป็นไปตามแผนเดิม คือ 300 แห่ง จากที่ขณะนี้มี 275 แห่ง ครอบคลุม 44 จังหวัด และในส่วนปริมาณความต้องการใช้อยู่ที่ 2,800-2,900 ตันต่อวัน ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายมีกว่า 3,000 ตันต่อวัน

ตึกไทยคู่ฟ้าพร้อมเปิดรับ อภิสิทธิ์ นั่งทำงาน

หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ คืนพื้นที่ทำเนียบฯ ให้กับสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้ามาเคลียร์เอกสาร สำรวจทรัพย์สินที่ถูกรื้อค้น ทำลาย และบางส่วนก็สูญหาย รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับสภาพและฟื้นฟูทำเนียบฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ แต่จนถึงวันนี้ (16 ธ.ค.) การดำเนินการต่างๆ ก็ยังไม่แล้วเสร็จ คงมีเพียงตึกไทยคู่ฟ้า และตึกสันติไมตรี ที่ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ที่พร้อมเปิดใช้งาน

นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร กล่าวว่า ตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรี มีความพร้อม 100% นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนใหม่ สามารถเดินทางเข้ามาทำงานในทำเนียบฯ ได้ทันที เนื่องจากไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนตึกบัญชาการ 1 และ 2 ซึ่งได้รับความเสียหายมาก วันพรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) กรุงเทพมหานครและหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จะเข้ามาให้การสนับสนุนในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับความเสียหายออกทั้ง หมด และจัดหาของใหม่เข้ามาแทนที่

ผม มั่นใจว่า ห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงห้องคณะทำงาน จะเสร็จทัน ก่อนที่รัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานในวันแรก แต่อาจมีปัญหาในเรื่องของเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ระบบไฟฟ้า และห้องน้ำบางจุด ที่จะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซม แต่ขณะนี้ได้ระดมเจ้าหน้าที่จากฝ่ายต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุน เพื่อให้การซ่อมแซมทำเนียบรัฐบาล คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์ ทุกอย่างจะแล้วเสร็จทั้งหมดนายลอยเลื่อน กล่าว

สำหรับ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่จัดงานสโมสรสันนิบาต และรับแขกเมือง นายลอยเลื่อน กล่าวว่า ขณะนี้กรมศิลปากรกำลังออกแบบภูมิทัศน์ จากนั้น จะส่งแบบมาให้เจ้าหน้าที่ของทำเนียบฯ ซึ่งจะเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ตามแบบทันที แต่ในส่วนนี้อาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคมนี้ ทำเนียบฯ จะจัดพิธีทำบุญใหญ่ และร่วมกันทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบทำเนียบฯ ด้วย

ส่วน การวางมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกทำเนียบฯ อีก นายลอยเลื่อน กล่าวว่า จะมีการหารือร่วมกัน ระหว่างผู้แทนของทำเนียบฯ ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลความปลอดภัยของสถานที่ราชการในทำเนียบฯ ทั้งหมด

เสื้อแดงทุบรถรมช.คลัง พังยับ ขณะออกจากสภาฯ

ผู้ สื่อข่าวรายงานวันนี้ (15 ธ.ค.) ว่า รถยนต์ของ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ถูกกลุ่ม นปช.รุมทุบจนเสียหายรอบคัน ขณะนำรถออกจากสภาฯ โดยร.ต.หญิง ระนองรักษ์ กล่าวยอมรับว่า ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้อย่างมาก หลังถูกกลุ่ม นปช.กักรถไม่ให้ออกจากสภาฯ ก่อนจะขว้างก้อนหินขนาดใหญ่ 3 ก้อน ทะลุกระจกเข้ามาภายในรถ และถูกนายไชยยศ จิรเมธากร โฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่นั่งมาด้วย บาดเจ็บกระดูกแขนขวาร้าว นอกจากนั้น ยังมีทีมงานได้รับบาดเจ็บ ส่วนตนสามารถหลบได้ทัน แต่รถก็เสียหายรอบคัน ทั้งกระจกหลัง กระจกข้าง และกระจกหน้า ซึ่งได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว แต่คงไม่เอาผิดกับใคร

ขณะ ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนเดิม ที่ยกมือโหวตลงมติให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี มาเปิดเผย พบว่า มีทั้งหมด 32 คน แบ่งเป็นกลุ่มเพื่อนเนวิน 21 คน กลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม 2 คน และกลุ่มกิจสังคม 4 คน ส่วนที่เหลือกระจายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ๆ

กลุ่ม ส.ส.ทั้ง 32 คน ได้รับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชน ดังนั้น การโหวตเลือกนายอภิสิทธิ์ จึงถือว่าทรยศต่อประชาชน จึงมั่นใจว่ารัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งขึ้นอายุไม่ยาวนายสุรพงษ์ กล่าว

ทั้ง นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ชุดเฉพาะกิจตำรวจภูธรขอนแก่น และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน เข้าดูแลรักษาความปลอดภัยหน้าบ้านพักนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.เขต 1 ขอนแก่น พรรคพลังประชาชนเดิม ตั้งอยู่บริเวณริมบึงแก่นนคร เขตเทศบาลนครขอนแก่น หลังนายประจักษ์ หนึ่งใน ส.ส.สังกัดกลุ่มเพื่อนเนวิน โหวตให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีชาวบ้านสวมเสื้อสีแดงกลุ่มหนึ่งแสดงความไม่พอใจอยู่บริเวณหน้าบ้านของนาย ประจักษ์ โดยระบุว่า หากมีการเลือกตั้งใหม่จะไม่เลือกนายประจักษ์อย่างแน่นอน จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงได้แยกย้ายเดินทางกลับ

เสนาะให้รอติดตามชม อภิสิทธิ์เป็นผู้นำ จะเกิดอะไรขึ้น

นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวภายหลังการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี (วันนี้ (15 ธ.ค.) ว่า ไม่รู้สึกเสียใจที่ได้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ยืนยันว่าจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับตนเพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง "แค่นี้ก็ชนะแล้ว แล้วให้กลับมาดูต่อไปว่า บ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น" หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวและว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา มีการซื้อตัว ส.ส.กันทั้งคืน ดังนั้นจะกล่าวหาประชาชนว่าซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันคงไม่ได้ ขณะเดียวกันตนมีประสบการณ์ทางการเมือง จึงรู้ถึงความรู้สึกของประชาชนว่าเป็นอย่างไร การเลือกนายกรัฐมนตรี วันนี้ เป็นเหมือนกับการปล้นความรู้สึกของประชาชน พรรคประชาราชยินดีที่จะไปเป็นฝ่ายค้าน และรู้สึกเสียใจกับนักการเมืองที่ไม่ได้เห็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามที่คิดไว้

หน.เพื่อไทยกำชับส.ส. โหวตแนวทางเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ธ.ค.) แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายวิทยา บุรณศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมกับสมาชิกพรรค ได้เปิดแถลงข่าวผลการประชุมของคณะกรรมการประสานงานเพื่อการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.) โดยนายยงยุทธ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติให้ ส.ส.ทั้ง 2 ประเภท ของอดีตพรรคพลังประชาชน มีเอกสิทธิ์ในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ขอให้สมาชิกพิจารณาไปในแนวทางเดียวกัน และมุ่งเน้นประโยชน์ของประชาธิปไตย และทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ พรรคจะไม่เสนอชื่อบุคคลที่มาจากพรรคพลังประชาชนเดิม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคได้เสนอให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ซึ่งเป็นบุคคลที่พรรคให้ความนับถือเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้นโยบายของพรรคในการเสนอชื่อบุคคลจะต้องมาจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมโดยเป็นบุคคลที่พรรคเห็นว่าจะนำพาบ้านเมืองเดินต่อไปได้ โดยไม่มีความขัดแย้ง ส่วนจะเป็นบุคคลใด พรรคจะมีการประสานงาน และยืนยันกับนายเสนาะ ในช่วงค่ำของวันนี้ และยังยืนยันว่า มีเสียง ส.ส.มากพอที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายวิทยา เตรียมเดินทางเข้าพบ นายเสนาะ ที่บ้านพักย่านเมืองทองธานี ในช่วงเย็นวันนี้ เพื่อสอบถามถึงความชัดเจนในการเสนอชื่อบุคคลชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเบื้องต้นยังคงเป็น พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ได้วิเคราะห์ในฐานะคนอยู่ในวงการการเมือง ซึ่งเสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้มีประมาณ 438 เสียง และเสียงของพรรคเพื่อไทยมีประมาณ 230 เสียง จึงมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่าคะแนนเสียงคงไม่ต่างกันมากนัก หากจะมีการแพ้ชนะกันคงอยู่ที่ประมาณ 8-10 เสียง ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เปิดกว้าง และพร้อมสนับสนุนพรรคร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล และอยากเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ ยุติการให้ร้ายพรรคเพื่อไทยว่ามีการซื้อตัว ส.ส.กลับคืนไป

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ไม่ว่าผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องยอมรับในความเป็นจริง ส่วนคืนก่อนวันเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่มีอะไรต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากขณะนี้เสียงค่อนข้างนิ่งแล้ว

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวอีกว่า ขอให้นายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน เอาเงิน 30 ล้านบาทที่ตนเคยให้ไว้มาคืนตนด้วย โดยเป็นการให้เมื่อครั้งที่นัดพบกันที่บ้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปี 2539 นอกจากนี้ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ก็เคยอ้างกับตนว่าได้ให้เงินนายเนวิน ไปจำนวน 100 ล้านบาท แต่ตรงนี้ตนไม่ทราบรายละเอียดของข้อเท็จจริง

ปชป.เนื้อหอมหัวบันไดไม่แห้ง ผู้แทนตปท.ตบเท้าพบ

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (13 ธ.ค.) ว่า นายกษิต ภิรมย์ รองนายกรัฐมนตรี (เงา) พรรคประชาธิปัตย์ และผู้ประสานงานต่างประเทศของพรรค ต้อนรับคณะตัวแทนพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ด้านเสรีนิยม และประชาธิปไตยที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเสรีนิยมนานาชาติ (Liberal International) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

นายกษิต กล่าวว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนในหัวข้อ การเมืองไทย บทบาทฝ่ายค้าน ระบบผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้ง รวมทั้งผลกระทบของเหตุการณ์นานาชาติต่อไทยซึ่ง มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยผู้แทนคณะดังกล่าวพร้อมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล และเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี จะทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย และเป็นแกนนำในภูมิภาคเอเชียได้ เพราะจากประสบการณ์ของประเทศเครือข่ายสมาชิกพบว่า นักการเมืองบริหารประเทศได้ดีกว่านักธุรกิจ

ทั้งนี้ ตัวแทนประเทศพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย 85 ประเทศ กว่า 30 คนที่มาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ได้มีแถลงการณ์ร่วมกันที่จะให้การสนับสนุน จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยพรรคประชาธิปัตย์ และหวังว่าจะเป็นการประกาศศักราชใหม่ของรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ สุจริต พร้อมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะกลับคืนมาเป็นผู้นำในเรื่องการ เสริมสร้างค่านิยมประชาธิปไตย รักษา และยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งการสร้างความสุจริต โปร่งใน เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการฟันผ่าวิกฤติเศรษฐกิจให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้า ไปข้างหน้าได้อีกครั้งหนึ่ง

ไร้เงาพรรคร่วมดินเนอร์ เสนาะย้ำจุดยืนรบ.เพื่อชาติ

ท้ายที่สุดแล้วอดีตพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งหมด ไม่ได้เดินทางมาร่วมรับประทานอาหารค่ำ และหารือถึงแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ โดยมีเพียงตัวแทนของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่อดีตพรรคร่วมรัฐบาลปฏิเสธที่จะหารือ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของมือที่สาม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นทหาร จึงไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ แต่เชื่อว่าในวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลจะปรากฏตัว และใช้เอกสิทธิ์ในฐานะตัวแทนประชาชน โดยไม่เกรงกลัวอำนาจใดๆ ขณะเดียวกันยังคงมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเพื่อชาติได้ โดยล่าสุดมีเสียงสนับสนุนถึง 225 เสียงแล้ว ด้าน นายเสนาะ กล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองรุนแรงกว่าเก่า เพราะจะเกิดจากความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่เลือกผู้แทนเข้ามา “ ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นรัฐบาล มันจะตายเหรอ ถ้าไปทำอย่างนี้นะผมบอกได้เลยว่า เอานักวิชาการออกมาพูด หอการค้าออกมาพูดว่าต้องเปลี่ยนขั้ว หุ้นขึ้น อย่าไปสร้างภาพกันอีกเลย เอาของจริงมาพูดกันดีกว่า ถ้าหากเป็นอย่างนี้ แรงกว่าเก่า ความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจะเกิดรุนแรงที่สุด เวลานี้ไม่ใช่ผู้แทนฯ แล้ว มันเป็นความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่เลือกผู้แทนมาเป็นภาคๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่เชื่อผมนะ จะเห็น แต่ขอให้ทุกคนได้มีจิตสำนึกและยืนยันอีกครั้ง ขอเชิญพรรคประชาธิปัตย์ เชิญทุกฝ่าย พรรคเพื่อไทย มานี่ ก็ต้องขอบคุณ ได้คิด แต่ผมจะทำหน้าที่ตรงนี้ร่วมกับพี่น้องประชาชน ร่วมกับสื่อมวลชน สื่อมวลชนควรที่จะไปประชุมกันด้วย สื่อมวลชนควรจะต้องฟันธงลงไปเลยว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว บ้านเมืองใครรับผิดชอบ ผมฟันธงไปเลยว่า มันจะเกิดแรงยิ่งกว่าเก่า ทีนี้ไม่ใช่เกิดเพราะผู้แทนหรือใครสร้างขึ้นมานะ มันจะเกิดจากความรู้สึกของคนเลือกผู้แทน และก็อยู่ดีๆ มาปล้นเอาไป มันจะเกิดอย่างนี้ อย่าให้ผมพูดเลยว่ามันจะเกิดอะไร แรงกว่าเก่าแล้วกันผมบอกให้... ” นายเสนาะ กล่าว นายเสนาะ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่อดีตพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้เดินทางมาหารือในวันนี้ ว่า พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ป่วย และติดภารกิจ ไม่สามารถเดินทางมาได้ โดยนายเสนาะยังคงมั่นใจแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ จะได้รับการสนับสนุน และได้วางตัวนายกรัฐมนตรีไว้ในใจ 2 คน คือ ส.ส.ที่เป็นทหาร และนายตำรวจใหญ่ ซึ่งส่วนตัวยืนยันจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ไม่เชื่อว่า จะมีทหารกดดันการจัดตั้งรัฐบาล และไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี “...ผมไม่เชื่อว่าทหารมาเป็นคนจัดการ ผมไม่เชื่อ ว่ากองทัพจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้นะครับ ถ้าจะมายุ่งเรื่องนี้นะครับ ปฏิวัติไปซะเลยดีกว่า บ้านเมืองไม่ยุ่งเหยิง แต่ถ้าทำอย่างนี้ ยุ่งเหยิงแน่นอน และเราจะต้องเสียใจ ใครไม่เชื่อผมนะครับ ผมเป็นคนตรงๆ และมองอะไรเห็นหมด มองอะไรรู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร บ้านเมืองไม่สงบ ก็ไปแก้ไม่ได้นะครับ เศรษฐกิจนะ ถ้าบ้านเมืองไม่ปกติ มีวิกฤติ ให้เก่งยังไงก็แก้ไม่ได้ มันต้องเอาความรักสามัคคี ตามพระบรมราโชวาท ตามพระราชดำรัส จะต้องเอามาให้เกิดประโยชน์กับทุกคนนะครับ เพื่อประสานทุกอย่างให้กลับคืนมา พรรคประชาธิปัตย์ก็ดี เชื่อผมเถอะ เชื่อไอ้เฒ่านี่ซักที ทำเพื่อบ้านเมือง พูดภาษาตรงไปตรงมาว่า แนวทางที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติได้ คือรัฐบาลเพื่อชาติเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกฯจะเอามาจาก 2 ขั้วนี่ไม่ได้ เกิดปัญหา แต่ผมขอไม่เป็นนะ ไม่ใช่นายเสนาะ...” นายเสนาะ กล่าว

เสด็จฯ วางพานพุ่มดอกไม้ ฉลองวัน “รัฐธรรมนูญ”

เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (10 ธ.ค.) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร จะเสด็จพระราชดำเนินมายังรัฐสภา พร้อมพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เพื่อ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในการวางพานพุ่มดอกไม้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพานพุ่มดอกไม้ส่วนพระองค์ เพื่อถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

หลังจากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อทรง ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาเนื่องในวันรัฐธรรมนูญก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 14.30 น. นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำพานพุ่มดอกไม้ถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว ในนาม สภาผู้แทนราษฎรก่อน ที่นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะนำข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะนำพานพุ่มดอกไม้ถวายบังคม ในนาม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ขณะที่ช่วงเช้าพรรคการเมืองประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค พร้อมรองหัวหน้าพรรค และส.ส.ของพรรคฯ รวม ทั้งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และส.ส.ของพรรคฯ เดินทางมาวางพานประดับพุ่มดอกไม้ ถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ หน้าอาคารรัฐสภา 1 เนื่องในวันรัฐธรรมนูญด้วย

“เสนาะ”ออกโรงฟันธง ประชาธิปัตย์ ตั้งรัฐบาลไม่ได้

“ทางออกของวันนี้ คือ ตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ โดยประกอบทั้ง 7 พรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่ต้องพูดถึงฝ่ายค้าน เพราะถ้าใครทำไม่ดีก็ค้านกันตั้งแต่อยู่ในคณะรัฐมนตรี โดยมีสื่อคอยตรวจสอบ ซึ่งแนวคิดนี้ได้มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว มีความเป็นไปได้ เอาเป็นว่าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์” นายเสนาะ กล่าว

นายเสนาะ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้โทรศัพท์มาหาตน จึงได้เล่าแนวคิดนี้ให้ฟัง รวมถึงได้คุยกับนายเนวิน ชิดชอบ และ กลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ด้วย เหลือเพียงพรรคชาติไทยเดิม เท่านั้นที่ยังไม่ได้คุยกัน แต่หลังจากที่มีการแถลงจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ก็เปลี่ยนไปหมด อย่างนี้ใช้ไม่ได้

“ถึงเวลานี้เราต้องเดินไปข้างหน้า อยากให้พรรคประชาธิปัตย์หยุดคิด อยากถามว่าอยากเห็นไทยเหนือกับไทยใต้หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์ยังไงก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ผมฟันธง แต่หากเอานโยบายมารวมกันก็โอเค ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลงูเห่าแบบเก่ามันใช้ไม่ได้แล้ว” นายเสนาะ กล่าว

นายเสนาะ กล่าวด้วยว่า สำหรับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ในวันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) คงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และ พล.ต.อ.ประชา ได้ยืนยันกับตนมาตลอดตั้งแต่วันเสาร์ว่าจะจับมือกัน เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาก็ยังโทรศัพท์มายืนยันว่าจับมือกันด้วย

สำหรับบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี นายเสนาะกล่าวว่า เคยบอกแล้วว่ามีทั้งนายทหารใหญ่และนายตำรวจใหญ่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล

ส่วนนายวิทยา บุรณศิริ อดีตประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือ วิปรัฐบาล กล่าวหลังจากที่แกนนำพรรคเพื่อไทยได้เข้าพบนายเสนาะ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ว่า ได้เข้าพบนายเสนาะในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อขอแนวทางและคำแนะนำ ซึ่งนายเสนาะได้ให้คำแนะนำว่า ให้เห็นแก่บ้านเมือง ซึ่ง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเองก็ยืนยันกับนายเสนาะว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องการให้เดินไปในแนวทางตามระบอบประชาธิปไตย ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็แล้วแต่พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นว่าเหมาะสม

นายวิทยา กล่าวด้วยว่า ได้ขอให้นายเสนาะเป็นตัวแทนประสานกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และหลังจากนี้ นายยงยุทธ จะเดินสายพบหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึง นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน เพื่อแสดงเจตนารมณ์ขอให้มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล

ส่วน พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ได้เดินทางออกจากบ้านพักนายเสนาะ เวลา 17.30 น. พร้อมกล่าวว่า มาคุยกันเล่น ๆ ไม่มีอะไร เมื่อถามว่า พรรครวมใจไทยฯ ตัดสินใจอย่างไร พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า ไม่ทราบ พรรครวมใจไทยฯ ไม่มีขั้ว เราอยู่ตรงกลาง

เพื่อไทยตบเท้าทาบเหนาะ ป้าอุกั๊กปชร.ขออยู่ตรงกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ธ.ค.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ อาทิ นายวิทยา บุรณศิริ นายอุดมเดช รัตนเสถียร ได้เดินทางมายังบ้านพักเมืองทองธานี ของนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช โดยคาดว่า เป็นการเดินทางมา เพื่อทาบทามเข้าร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ได้เดินทางมายังบ้านเมืองทองธานีด้วย แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงวัตถุประสงค์ที่เดินทางมา ขณะที่ นางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยา นายเสนาะ กล่าวถึงท่าที่ของพรรคประชาราชในการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้พรรคประชาราช ยังมีจุดยืนตรงกลางในการเข้าร่วมกับพรรคการเมืองอื่น เพราะยังไม่รู้ว่าขั้วการเมืองใดได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจากตัวเลข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ยังไม่ชัดเจน ยังมีการเปลี่ยนไปมา ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใด พร้อมปฏิเสธไม่ได้ซื้อเวลา เพื่อต่อรองตำแหน่ง เนื่องจากเป็นพรรคเล็กมี ส.ส.แค่ 5 เสียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าใครบ้างไม่อยากเป็นรัฐบาล แต่ก็พร้อมเป็นฝ่ายค้าน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีฝ่ายใดติดต่อ เพื่อร่วมรัฐบาล นางอุไรวรรณ ยังกล่าวอีกว่า การแถลงข่าวร่วมกับพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ได้เป็นการแสดงจุดยืน แต่เป็นการไปดูท่าที และข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยเพื่อตัดสินใจเท่านั้น สำหรับท่าทีของนายเสนาะ ขณะนี้ขออยู่ตรงกลาง และอยากเห็นรัฐบาลทุกพรรคเป็นรัฐบาลเพื่อชาติ เพราะหากปล่อยให้ขั้วใดขั้วหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล ก็จะเกิดม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดงขึ้นอยู่ดี และในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง อยากเห็นประเทศไทยสงบ อยากเห็นทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาประเทศที่บอบช้ำมามาก ไม่อยากเห็นว่าหากมีรัฐบาลแล้วเกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศไม่ได้แค่ย่ำอยู่กับที่ แต่ถอยหลังมามาก อย่างไรก็ตาม หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นประชาธิปไตยได้เต็มใบหรือไม่ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกส่วนหนึ่ง ได้เดินทางเข้าพบ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่บ้านสนามบินน้ำ โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเดินทางเข้าพบวันนี้เชื่อว่า ทั้ง 2 พรรค คือ พรรคมัชฌิมาธิปไตยเดิม และพรรคชาติไทยเดิม มีเจตนาร่วมกันในการที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง โดยเป้าหมาย สำคัญในขณะนี้ จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และเชื่อว่าทุกฝ่ายนั้นเห็นพ้องต้องกัน ทั้งนี้เมื่อถามว่า พรรคมัชฌิมาธิปไตย จะได้ดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด นายสุเทพ กล่าวอีกว่า วันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) จะไปพบกลุ่มเพื่อนเนวิน ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น คงต้องรอให้การประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อให้คัดเลือกหัวหน้า และกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดิน เสร็จเรียบร้อยก่อน ด้านนางอนงค์วรรณ ได้นำโปสเตอร์พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปหัวใจครึ่งหนึ่งสีแดง อีกครึ่งสีน้ำเงิน และมีแผนที่ประเทศไทยสีแดงอยู่ตรงกลางมาเปิดเผยให้สื่อมวลชนดู และเปิดเผยว่า ส.ส.อดีตพรรคมัชฌิมาธิปไตยที่เหลือ 10 คน ยืนยันที่จะรวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองในนามพรรคภูมิใจไทย ส่วน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สามีนางอนงค์วรรณ กล่าวว่า ขณะนี้ตนไม่สามารถที่จะพูดในเรื่องของการเมืองใดๆ ได้ เพราะติดในส่วนของ 111 คน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรคมัชฌิมาธิปไตย มีแนวคิดและมีเจตนาร่วมกันที่จะทำการเมืองให้เป็ประโยชน์ ด้านนางพรทิวา นาคาสัย เลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตยเดิม กล่าวถึง กระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทยจะดึงพรรคร่วมรัฐบาลกลับร่วมจัดตั้งรัฐบาล ว่า ในส่วนของพรรคมัชฌิมาธิปไตย ยังเป็นปึกแผ่นดี และ เชื่อว่าไม่มีแนวทางที่จะกลับไปจับมือพรรคเพื่อไทยแน่นอน

“อภิสิทธิ์” เต็งหนึ่ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (8 ธ.ค.) ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ทางช่อง 3 ถึงประเด็นความมั่นใจในเกมการเมืองว่า สถานการณ์ทางการเมืองได้มีการแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วและทราบว่ามีแรงกดดันจากบรรดาพรรคการเมืองและจากกลุ่มการเมืองต่างๆ พอสมควร แต่เชื่อว่าความตั้งใจที่จะพยายามนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต จะทำภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศเดินหน้ามากขึ้น

ต่อข้อคำถามที่ว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ในนามของกลุ่มหรือในนามของพรรค แต่เมื่อไปดูตามรายบุคคล รวมถึงบางคนที่ออกมาแถลงก็ยังพบว่ามีเสียงแปลกๆ อยู่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงขณะนี้มันมี ส.ส. อยู่จำนวนหนึ่งซึ่งเขาไม่มีพรรคสังกัดอยู่ จึงมีความสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ได้ฟังจากเจตนาของเพื่อน ส.ส. และบรรดาแกนนำก็ได้มีการมาพูดคุยกัน

ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนายอภิสิทธิ์ขึ้นมาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี มีความกังวลหรือไม่ กับคำสบประมาทต่างๆ อาทิ ทหารอุ้มมาเป็น หรือขึ้นมายามที่บรรยากาศที่เป็นอยู่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าจะมาจะต้องมาโดยการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร และการมาทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกระบวนการของประชาธิปไตย กระบวนการของรัฐสภา ซึ่งยืนยันมาตลอดให้ชีวิตการเมืองจะต้องอยู่ในกรอบของกระบวนการนี้

ส่วนข้อคำถามที่ว่า กังวลในเรื่องของสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีความกังวล แต่ถามว่ามีใครไม่กังวลบ้าง แต่ที่เหตุการณ์ต่างๆ มาถึงจุดนี้ ซึ่งกำลังต้องการนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต และงานที่อยู่ข้างหน้าสำหรับรัฐบาลชุดใหม่หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทุกคนก็ยอมรับว่าหนักหนาสาหัส แต่นี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง และพรรคการเมืองจะต้องแก้ไข เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการเมือง และระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองใช้ได้

ต่อข้อคำถามที่ว่า อาจจะมีเสื้อแดงออกมา และอีกฝั่งหนึ่งก็จะออกมาประท้วงเหมือนกันนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินหรือทราบเหตุการณ์ต่างๆ ได้ เนื่องจากยังไม่ได้เดินไปถึงจุดนั้น แต่เท่าที่ติดตามมากลุ่มเสื้อแดงสิ่งที่ต่อต้านมากที่สุดคือการรัฐประหาร ดังนั้นสิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงต่อต้านจะไม่เป็นประเด็นถ้านายอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ก็มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของคนทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญหลักขณะนี้ที่คนคาดหวังคือความสามัคคี กระทำได้ทั้งการพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจที่มีการออกมากล่าวถึงการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ซึ่งจะกลับคืนมาได้ก็ต้องมีความสามัคคี เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลจะต้องเข้าอกเข้าใจคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง และพยายามหาทางออก ต่อคำถามที่ว่า ภารกิจแรกที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าใครก็ตาม หรือเป็นนายอภิสิทธิ์เอง จะต้องยุติความแตกแยกขัดแย้ง ต้องสร้างความสามัคคีก่อน เหมือนว่ายังไม่ทันเริ่ม ฝ่ายตรงข้ามก็ออกมาต่อต้านแล้ว ประกาศจะขัดขว้าง จะชุมนุมถึงที่สุด จะมีวิธีอย่างไรในการสร้างความสามัคคีในบ้านเมือง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีในใจอยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความยุติธรรม เพราะถ้าย้อนกลับไปดูความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับชาติ หรือเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลุกลามบานปลาย ลึกๆ ที่สุดคือความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ดังนั้นถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ คือจุดที่เรียกว่าหัวใจสำคัญก็จะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องนำเสนอมาจากคนที่เป็นผู้นำ และนำแสดงออกถึงความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ซึ่งต่อให้เสื้อเหลืองจะเคลื่อนไหวคดีความเก่าๆ หรือเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวคดีความใหม่ๆ หรือเก่าก็ตาม อย่างน้อยที่สุดจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ มาตรฐานในการดำเนินการต่อทุกฝ่ายจะต้องเหมือนกัน

ต่อข้อคำถามที่ว่า ภาวการณ์ปัจจุบันมีการชิงการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น อำนาจต่อรองของฝั่งประชาธิปัตย์ก็จะน้อยลงจะทำให้ยากมากขึ้นหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความยากมีอยู่แน่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ต้องคำนึงถึงการยอมรับของสังคมไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ส่วนคำถามที่ว่าหลายฝ่ายมีเงื่อนไขกรณีที่จะให้นายชวน หลีภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มี ซึ่งได้มีการพูดคุยกันมาหลายรอบ ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว ถ้ามีการเสนอขึ้นมา จะมีปัญหาต่อการจัดตั้งรัฐบาลของประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ามีก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ และมีทางออกรออยู่ แต่เนื่องจากมันไม่มี

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครที่ได้ขึ้นนั่งนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ ก็ต้องได้รับแรงกดดันสูง เพราะสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ต้องการการนำที่สามารถนำไปสู่การหลุดพ้นจากสภาพปัญหาที่เรื้อรังมาหลายปี ไม่ได้เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ แต่รวมถึงการเมือง ความแตกแยกในสังคมด้วย ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาลชุดใดก็ตามที่จะขึ้นมาบริหารประเทศจะต้องทำให้บ้านเมืองสงบ เรียกความสามัคคีกลับคืนมา เห็นประเทศเดินไปข้างหน้าได้ และให้ปะเทศไทยได้เกียรติภูมิกลับคืนมาในเรื่องของการเป็นประธานอาเซียน

เผย'ทักษิณ'โทรคุยเอง จี้แกนนำเช็กยอดส.ส.


เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. วันนี้ (7 ธ.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และอดีตประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวทีเอ็นเอ็น ยืนยันว่า เวลานี้มี ส.ส.ทยอยเดินทางมาสมัครเข้าพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก ทำให้รู้สึกสบายใจ และคาดหวังว่าเราจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนปัญหากลุ่มเพื่อนเนวินนั้น เชื่อว่าสุดท้ายจะกลับเข้ามาอยู่พรรคเพื่อไทย และเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาก็มี ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน จาก จ.ศรีสะเกษ โทรศัพท์เข้ามายืนยันว่า ยังอยู่กับพรรค ยังไม่ย้ายไปไหน "ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่ดึง ส.ส. และจะไม่ปล้น ส.ส.ของพรรคใครมา" นายวิทยา กล่าว และขอไม่เปิดเผยจำนวน ส.ส. แต่ยืนยันว่ามีจำนวนมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ รายงานข่าวแจ้งว่า หลังกลุ่มเพื่อนเนวินได้ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้แก้เกมด้วยการโทรศัพท์ข้ามประเทศเข้ามาพูดคุยด้วยตัวเองกับบรรดาแกนนำในพรรค เพื่อยืนยันตัวเลข ส.ส.ในกลุ่มที่อยู่กับพรรคเพื่อไทย พร้อมประสาน ส.ส.ในกลุ่มว่าจะดูแลการเลือกตั้งเหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังได้ประสานผ่านนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว และนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ให้ดึง ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน กลับมาให้มากที่สุด โดยยื่นเงื่อนไขให้เท่ากับที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานว่าตลอดทั้งวัน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประสานไปยังแกนนำอาทินายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ให้ประสานกับ 5 พรรคร่วมเดิม เพื่อยอมให้พรรคเล็กผลักดันเสนอชื่อเป็นนายกฯ และพรรคเพื่อไทยก็จะยกมือโหวตให้ ซึ่งคาดว่าจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร

ในหลวงประชวร โปรดเกล้าฯพระบรมฯรับพร


วัน ที่ 4 ธันวาคม 2551 เมื่อเวลา 17.19 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ณ ศาลาดุสิตาลัย เพื่อรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา จากข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่า

ในโอกาสนี้ นายชวรตัน์ ชาญวีรกูล รองนายกฯรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถวายพระพรชัยมงคล

จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงมีพระดำรัส ใจความว่า

“วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ข้าพเจ้าและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ในการที่จะรับท่านทั้งหลายในวโรกาสที่เข้าถวายพระ พรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในปีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสให้ขอบใจในพรอันบริสุทธิ์ ที่ได้ถวายมาด้วยความจงรักภักดี ทรงปลาบปลื้มและทรง ขอสนองพรทุกท่านที่ได้ถวายมาอย่างจริงใจ ในการนี้ได้ทรงขอให้บอกทุกท่าน และพระราชทานพรให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ มีกำลังกายกำลังใจและกำลังปัญญาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติและประชาชน ก็ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญและประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ทั้งในทางด้านส่วนรวมและส่วนตัว”

“ใน โอกาสนี้ที่ไม่เสด็จฯลง เพราะว่าทรงมีพระอาการประชวรเล็กน้อย ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ ซึ่งได้ขึ้นเฝ้าฯ ได้อธิบายให้ท่านฟัง ถึงอาการประชวรในเบื้องต้น แต่สุดท้ายนี้ในพระปรมาภิไธย ก็ขออัญเชิญพระราชกระแสขอบใจ และ สนองไมตรี สนองพรทุกท่าน ที่ได้มาถวายพระพรในวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญสมปรารถนาทุกประการ”

จาก นั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระดำรัส ใจความว่า “เมื่อวานนี้ไปเฝ้าฯ ก็ยังไม่เป็นไร แต่เริ่มตั้งเครื่องถวายพระกระยาหารก็ยังเสวยได้ แต่พอดีมาถึงวันนี้ ทรงมีพระอาการ เป็นช่องพระศอ คือ หลอดลม หลอดอาหารอักเสบ ทำให้เสวยเครื่องไม่ค่อยได้ เขาก็เลยถวายเป็นน้ำเกลือและยา ส่วนทางด้านหลอดลม มีเสมหะ ออกมามาก ทำให้รู้สึกไม่ทรงพระสำราญและ ทำให้อ่อนเพลีย แต่ไม่มีไข้ ก็คิดว่าให้บรรทมพักไปซักพัก จนกระทั่งมีพระกำลัง ค่อยออกมาพบท่านหรือทำอะไรได้ เพราะคิดว่า ตอนนี้ คิดว่าอยากจะทรงพักดีกว่า และเรื่องรายละเอียดจะเป็นยังไง เดี๋ยวทางแพทย์เขาคงพูดด้วยภาษาที่ถูกต้องอีกที แต่เท่าที่เห็นคือท่านยังมีพระอาการไม่ได้หนักมาก แต่ดูเหมือนจะอ่อนเพลีย เพราะเสวยไม่ได้เต็มที่ คือมีเสมหะติดอยู่ ไม่ค่อยจะออก และถวายน้ำเกลือเพื่อล้าง คนที่มีเสมหะ ให้ดื่มน้ำมากๆ แต่ดื่มได้ไม่ดี ตอนนี้เขาถวายน้ำเกลือ ตอนนี้ดูจะออกลงมาก แต่ว่าเหมือนถึงเวลาที่จะให้เฝ้าฯแล้ว ก็จะให้เสมหะออก ก็ไม่ทัน ก็เลยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมฯ มารับพรและขอบใจทุกๆ ท่านแทน”

ตร.วางกำลังเข้มบ้านพัก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (2 ธ.ค.) ว่า ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 12.30 น. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ( บช.น.) กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญแถลงปิดคดียุบพรรคพลัง ประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า มีการเพิ่มกำลังตำรวจคุมเข้มพื้นที่มากกว่าปกติ โดยใช้กำลังจาก บก.น.2 บก.น.7 และ บก.ตปพ. จำนวน 750 นาย ดูแลพื้นที่โดยรอบศาลปกครอง พร้อมประสานกำลังทหารดูแลเพิ่มเติม และหากมีผู้ชุมนุมมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะมีการเพิ่มกำลังตำรวจเข้าไปดูแลตามควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าคงไม่มีมือที่ 3 เข้ามาก่อความวุ่นวายอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้ตำรวจที่อยู่ในท้องที่บ้านพักของตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญจัดกำลังตำรวจไปดูแลความปลอดภัยบ้านพักทุกคน

ผู้ สื่อข่าวรายงานต่อจากศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะว่า ภายหลังที่ศาลปกครองอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมา ส่งผลให้กลุ่ม นปช. สวมเสื้อแดงประมาณ 1,500 คน ที่ชุมนุมอยู่ภายในบริเวณศาลไม่พอใจคำตัดสินของศาล ได้ช่วยกันใช้ไม้กระทุ้งหม้อแปลงไฟฟ้าที่อยู่เสาไฟฟ้าหน้าศาลจนทำให้หม้อ แปลงระเบิดขึ้นมา ทำให้ไฟฟ้าภายในศาลดับไปชั่วขณะ แต่ทางศาลมีไฟสำรองจึงไม่มีปัญหาอะไร

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จนถึงขณะนี้ แม้ว่าศาลจะมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. เคลื่อนย้ายออกจากศาลทันทีภายใน 15 นาที แต่ผู้ชุมนุมก็ยังดื้อด้านอยู่ภายในบริเวณศาลต่อไปไม่ยอมฟังคำสั่งใดๆ ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่ม นปช.ได้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ศาลปกครอง ทยอยขึ้นรถ 10 ล้อ จำนวน 2 คัน มุ่งหน้าไปปักหลักชุมนุมที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานครต่อไป