ตั้งสติกับสึนามิเศรษฐกิจ

วิกฤต แฮมเบอร์เกอร์ดูน่ากลัวเพราะผลร้ายเริ่มลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ตลาดเงินและตลาดทุนบั่นป่วน อย่างไรก็ดี ภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อร้ายนี้ถ้าคนในบ้านเราไม่ ตื่นตระหนก สดับตรับฟังข่าวต่างๆ อย่างมีสติแล้ว ผลกระทบในบ้านเราก็ไม่น่าจะหนักหนาสาหัสเท่าวิกฤตเมื่อปี 2540

การ รับประกันเงินฝากในธนาคารอย่างไม่จำกัดวงเงินของไอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย เดนมาร์ก พร้อมกับการขยายยอดวงเงินประกันเงินฝากของธนาคารในเกือบทุกประเทศในยุโรปชี้ ให้เห็นว่าการตื่นตระหนกถอนเงินจากธนาคารได้เกิดขึ้นแล้วอันเนื่องมาจากหนี้ เสียหรือคาดว่าธนาคารมีผลประกอบการที่เลวร้ายจนจะปิดกิจการ

สาเหตุ ของการถอนเงินก็มาจากการกลัวว่าธนาคารจะล้มและไม่มีเงินจ่ายคืนให้ การออกมาบอกว่าจะรับประกันเงินฝากไม่จำกัดวงเงินหรือขยายวงเงินก็ทำให้ผู้ ฝากเบาใจและหาย ตื่นตระหนกไปได้ในระดับหนึ่ง และถ้าเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นสถาบันการเงินก็คงพอหายใจสบายขึ้น

การ ตื่นตระหนกถอนเงินจากธนาคารนั้นน่ากลัวกว่าการตกของดัชนีตลาดหุ้นเป็นอันมาก การที่คนตกใจก็เนื่องจากเกรงว่าราคาหลักทรัพย์จะตกลงมากไปกว่าที่ซื้อไว้ อย่างไรก็ดี เมื่อมันตกลงมากๆ ไม่ช้าไม่นานก็จะมีคนมาช้อนซื้อ "ของถูก" (ถ้าไม่ตกไปกว่านี้อีก) เอาไว้ ดัชนีก็จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จะช้าจะเร็วและจะขึ้นมาสูงหรือต่ำแค่ไหนไม่มีใครทราบ (ถ้าผู้เขียนรู้ก็ไม่ได้มานั่งเขียนอยู่ตรงนี้)

ส่วนการตื่นตระหนก ของผู้ฝากเงินนั้นร้ายกาจกว่ามากมาย เพราะทุกธนาคารไม่ว่าใหญ่โตแค่ไหนก็สามารถล้มได้ทั้งนั้นหากผู้คนแห่กันมา ถอนเงินเนื่องจากธนาคารได้เอาเงินฝากไปปล่อยกู้เกือบทั้งหมด (ใครจะกอดเงินฝากอยู่ได้เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ทุกวินาที) ตามธรรมชาติของธุรกิจธนาคารทั่วโลก

เมื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งล้ม ก็มีโอกาสสูงที่จะดึงธนาคารอื่นลงไปด้วยเนื่องจากโรคกระต่ายตื่นตูมหรือ ธนาคารอื่นอาจมีธุรกิจโยงใยอยู่ด้วย ดังนั้น การยอมให้ธนาคารใดธนาคารหนึ่งล้มจึงเป็นสิ่งต้องห้าม

เมื่อก่อนวิกฤต เศรษฐกิจปี 2540 การล้มของธนาคารเป็นเรื่องใหญ่โตน่ากลัว แต่เมื่อกว่า 2-3 ธนาคารแถมด้วยบริษัทไฟแนนซ์กว่า 40 แห่งล้ม คนไทยจึงรู้สึกชาชินไปเป็นอันมาก กอปรกับรัฐบาลไทยคุ้มครองเงินฝากไม่จำกัดวงเงิน (เพียงแต่ได้เงินฝากคืนช้าเท่านั้น) มันจึงไม่เป็นโรคร้ายลามไปทั่ว

ใน ครั้งนี้ถึงแม้พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีผลใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2551 ก็ตาม ในปีแรกภาครัฐก็ยังคุ้มครองไม่จำกัดวงเงินอยู่ดี ในปีต่อไปวงเงินคุ้มครองคือ 100 ล้านบาทต่อคนฝาก 1 คนต่อ 1 สถาบันการเงิน และลดหลั่นลงไปเป็น 50 และ 10 ล้านบาท ในปีต่อๆ ไป

พระราชบัญญัติ ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เต็มที่ในวันที่ 13 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไปคือคุ้มครองวงเงินฝาก 1 ล้านบาทต่อคนฝาก 1 คนต่อ 1 สถาบันการเงิน

ผู้ มีเงินฝากนับสิบหรือร้อยล้านบาทและวงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทเช่นนี้ก็ไม่น่ากลัวเพราะผู้ฝากสามารถฝากในหลายธนาคารได้และคนเช่น นี้ก็มีน้อยมากเพราะสถิติปัจจุบันระบุว่าร้อยละ 98.5 ของยอดบัญชีเงินฝากทั้งหมดในประเทศไทยมีเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาท

การ คุ้มครองเงินฝากหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประกันเงินฝากในบ้านเราจึงไม่ใช่ เหตุผลที่ควรจะตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้นและก็ไม่มีเหตุผลใดๆ อีกเช่นกันที่จะต้องหน้าตาตื่นไปถอนเงินฝากจากสถาบันการเงิน

ธนาคาร แห่งประเทศไทยได้ประกาศว่าสถาบันการเงินไทยได้ซื้อตราสารหนี้ชนิดที่มีหลัก ทรัพย์จำนองหนุนหลัง (mortgage-back securities) ที่เป็นปัญหาเพราะมูลค่ามันลดลงไปมากจากบริษัทการเงินที่มีปัญหาในสหรัฐ อเมริกาประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งถ้าตัวเลขนี้จริงก็ไม่เป็นปัญหา

ปัญหาที่จะกระทบคนไทยจากวิกฤตแฮมเบอเกอร์น่าจะมาจาก

(ก) ปัญหาการส่งออกเนื่องจากคู่ค้ารายใหญ่ของเราคือสหรัฐอเมริกา ยุโรป (ยังไม่เห็นชัดจากประเทศอาเซียนและจีน) มีปัญหาด้านรายได้จนบริโภคน้อยลงและมีดีมานด์ของสินค้าออกของเราน้อยลง

(ข) ปัญหาการท่องเที่ยว เป็นธรรมดาเมื่อตนเองจนลงจริงๆ หรือรู้สึกว่าตนเองจนลงบนกระดาษเพราะราคาหุ้นตกลงมากก็ย่อมออกท่องเที่ยว น้อยลงเป็นธรรมดา

(ค) ปัญหาการลงทุนจากต่างประเทศ บริษัทใหญ่ๆ เมื่อฐานะการเงินถูกกระทบเพราะเศรษฐกิจโตช้าลงหรือประชาชนมีการบริโภคน้อยลง สินค้าค้างสต๊อคมากขึ้น ก็ย่อมลงทุนน้อยลงกว่าเดิมทั้งในและนอกประเทศ

(ง) ความไม่แน่นอนจากการลามของโรคไปยังประเทศอื่นๆ ในรูปของหนี้เสียหรือเกิดสภาวะเลวร้ายลงมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาในลักษณะใหม่ๆ เช่น ค่าเงินเหรียญสหรัฐผันผวน บริษัทที่ได้ช่วยเหลือไปแล้วมีอาการทรุดหนักลงไปอีก โรคลามไปถึงสถาบันการเงินใหญ่อย่างร้ายแรง ฯลฯ หรือโรคลามไปถึงสถาบันการเงินของไทยอันเกิดจากหนี้เสีย

(จ) ปัญหาเศรษฐกิจไทยโตช้าลงทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง (แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นทำให้ขาดดุลการคลังมากขึ้นซึ่งหมายถึงหนี้สาธารณะเพิ่ม สูงขึ้น) ภาคเอกชนมีกำไรน้อยลงหรือ ขาดทุนซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน

(ฉ) ปัญหาดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงไปมากจนทำให้นักลงทุนขาดทุน นักธุรกิจต้องกู้ยืมด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะมีความเสี่ยงสูงขึ้น (หลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมก็มีมูลค่าลดลงด้วย)

ปัญหาเหล่านี้จะ มาถึงอย่างไม่รวดเร็ว พอมีเวลาให้เราปรับตัวได้ แต่ถ้าคนไทยเราตื่นตระหนกและขาดสติในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้า ตื่นไปถอนเงินฝากหรือขายหุ้นกัน ลูกเดียวแล้ว เราจะเจ็บตัวกันได้มากในเวลาอันรวดเร็ว

ไม่มีเหตุผลใดในปัจจุบันที่ คนไทยจะต้องตื่นตูมกังวลกับเงินฝากในสถาบันการเงินหรือขายหุ้นทิ้งอย่างไร้ สติ เราควรตั้งสติและปรับตัวรับปัญหา

ถ้าจะห่วงใยก็น่าจะเป็น เรื่องการใช้ความรุนแรงของภาครัฐทั้งจากการปลุกระดมและการใช้กลไกของรัฐใน การแก้ไขปัญหาชุมนุมประท้วงตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตยมากกว่า

0 ความคิดเห็น: